วันพุธที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับมรดก

                        ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับมรดก


“ตายแล้วไปไหน" แม้จะน่าสนใจ แต่ไม่มีใครตอบได้



“ตายแล้วทรัพย์สินไปไหน” แม้จะไม่สนใจ (เพราะบางคนอาจถือว่าเมื่อตายแล้วก็แล้วกันทรัพย์สินจะไปไหนก็ไม่ใช่เรื่องของตัวอีกต่อไป หรือบางคนไม่สนใจเพราะไม่มีทรัพย์สินอะไรที่จะให้ต้องเป็นห่วง ที่มีชีวิตอยู่ทุกวันนี้ก็ชักหน้าไม่ถึงหลังอยู่แล้ว) แต่ก็น่าจะรู้ไว้ เพราะประโยชน์ที่จะได้รับนั้นไม่เพียงจะได้ใช้สำหรับเตรียมการเกี่ยวกับทรัพย์สินของตนเอง แต่ยังจะเป็นประโยชน์ที่จะได้ติดตามดูว่าเมื่อคนอื่นตายไปแล้ว เราจะมีส่วนในทรัพย์สินหรือมรดกของคนอื่นนั้นได้ในกรณีใดบ้าง เพราะใครจะไปรู้ จู่ ๆ มรดกเจ้าคุณปู่อาจจะตกมาถึงเราบ้างก็ได้




๑. กองมรดก คืออะไร

กองมรดกคือทรัพย์สินทุกชนิดของผู้ตาย ไม่ว่าจะเป็นที่ดิน บ้าน เสื้อผ้า หรือแม้แต่ของใช้ส่วนตัว แม้แต่ทองที่ครอบฟันไว้ ก็เป็นทรัพย์สินอย่างหนึ่งของผู้ตาย ซึ่งเมื่อบุคคลใดตายแล้วย่อมอยู่ในความหมายของกองมรดกด้วย

นอกจากทรัพย์สินแล้ว ยังรวมถึงบรรดาสิทธิ หน้าที่ และความรับผิดต่าง ๆ ที่มีอยู่ในวันที่ตายหรือที่จะมีขึ้นในวันข้างหน้าภายหลังจากที่ตายแล้วด้วย เช่นทำสัญญาเช่าบ้านมีกำหนดสิบปี เช่าไปได้สองปีแล้วเกิดตายลง สิทธิที่จะเช่าบ้านนั้นต่อไปอีก ๘ ปี ก็จะตกเป็นกองมรดก ในขณะเดียวกันหน้าที่หรือความรับผิดในการชำระค่าเช่าที่ค้างอยู่ก็ดี หรือที่จะชำระต่อไปในวันหน้าก็ดี ล้วนตกเป็นกองมรดกด้วยกันทั้งสิ้น

อย่างไรก็ตามบรรดาสิทธิ หน้าที่ หรือความรับผิด ที่ตามกฎหมายหรือโดยสภาพแล้วเป็นการเฉพาะตัวของผู้ตาย ย่อมตายตามตัวผู้ตายไปด้วยไม่ตกทอดไปถึงทายาท เช่นทำสัญญาว่าจะไปเล่นลิเกให้ชมในอีกสิบวันข้างหน้า หรือไปตกลงรับจ้างวาดรูปไว้ แล้วเกิดตายเสียก่อนเช่นนี้ จะเห็นได้ว่าโดยสภาพแล้วเป็นเรื่องเฉพาะตัว จะมากะเกณฑ์ให้ทายาทต้องไปเล่นลิเกแทนผู้ตายย่อมไม่ได้ แต่ถ้าบังเอิญผู้ตายไปรับเงินค่าตัวเขามาก่อนแล้ว ก็กลายเป็นหนี้ที่ทายาทจะต้องชดใช้คืนให้แก่ผู้จ้าง

เมื่อกฎหมายกำหนดว่ากองมรดกนั้นประกอบไปด้วยทั้งทรัพย์สินและหน้าที่และความรับผิดด้วยเช่นนี้ มิกลายเป็นว่าถ้ากองมรดกมีหนี้มากกว่าทรัพย์สิน ทายาทที่จะรับมรดกไปมิต้องกลายเป็นลูกหนี้ไปด้วยหรือ เรื่องนี้กฎหมายมิได้ใจไม้ไส้ระกำถึงขนาดนั้น เพราะได้กำหนดไว้แล้วว่าไม่ว่ากรณีจะเป็นอย่างไร ทายาทก็ไม่จำต้องรับผิดเกินทรัพย์มรดกที่ตกทอดได้แก่ตน เรียกว่าอย่างแย่ที่สุดก็เพียงเสมอตัว คือไม่ได้อะไรเลย

ที่ว่าทรัพย์สินของผู้ตายนั้น ต้องเข้าใจว่าหมายถึงทรัพย์สินที่เป็นของผู้ตายจริง ๆ ไม่ใช่ทรัพย์สินทั้งหมดที่สามีภริยามีอยู่ร่วมกัน เมื่อบุคคลใดตายทรัพย์สินที่มีอยู่ระหว่างสามีภริยาจะต้องแยกออกจากกันเสียก่อน ส่วนของใครก็เป็นของของคนนั้น จะทำพินัยกรรมยกให้ใครก็ได้แต่จะต้องยกเฉพาะส่วนที่เป็นของตนเท่านั้น ถ้าไม่มีพินัยกรรม และทรัพย์สินจะตกได้แก่ทายาทโดยธรรม ทรัพย์สินที่จะตกไปย่อมจำกัดอยู่แต่เฉพาะส่วนที่เป็นของผู้ตาย ไม่รวมถึงส่วนที่เป็นของคู่สมรสด้วย

เมื่อคู่สมรสคนหนึ่งตายไป การสมรสย่อมสิ้นสุดลง ทรัพย์สินที่ทั้งสองมีอยู่ด้วยกันย่อมแยกออกจากกันโดยผลของกฎหมาย แม้ว่าในความเป็นจริงทรัพย์สินทั้งหมดจะยังอยู่รวม ๆ กัน บางชิ้นก็เป็นชื่อของคนใดคนหนึ่งเพียงคนเดียว แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า ทรัพย์สินนั้นจะเป็นของคนนั้นแต่เพียงผู้เดียว

การที่คู่สมรสที่ยังมีชีวิตอยู่ได้รับทรัพย์สินส่วนของตนแยกมา มิได้หมายความว่าคู่สมรสดังกล่าวได้รับมรดก หากแต่เป็นการได้ทรัพย์สินของตนคืนมา ส่วนของผู้ตายนั้น คู่สมรสจึงจะไปรับมาในฐานะมรดกอีกต่อหนึ่ง เช่น เมื่อสามีตาย มีเงินอยู่ในบัญชีของสามี ๑๐๐ ล้านบาท ถ้าเงิน ๑๐๐ ล้านบาทนั้นได้มาในระหว่างที่อยู่กินด้วยกันโดยไม่ใช่เป็นสินส่วนตัวของสามี เมื่อสามีตาย เงิน ๑๐๐ ล้านจะถูกแบ่งระหว่างสามีและภริยาคนละ ๕๐ ล้าน ส่วนของสามี ๕๐ ล้านจะตกเป็นทรัพย์มรดก นำมาแบ่งกันในระหว่างผู้เป็นทายาท ซึ่งแม้ภริยาจะไม่ได้เป็นทายาท แต่ก็มีสิทธิได้รับมรดกเช่นเดียวกับทายาท เช่น ถ้าผู้ตายไม่ได้ทำพินัยกรรมไว้ และมีลูก ๔ คน เงิน ๕๐ ล้านนั้นจะแบ่งระหว่างภริยาและลูก ๆ คนละ ๑๐ ล้าน ตกลงภริยาจะได้เงิน ๖๐ ล้าน (คือ ๕๐ ล้านในฐานะที่เป็นทรัพย์สินของตนที่แยกออกมา และอีก ๑๐ ล้านในฐานะที่เป็นมรดก) และลูก ๆ ได้คนละ ๑๐ ล้าน

ถ้าผู้ตายเป็นพระภิกษุ ทรัพย์สินของท่านที่ได้มาในระหว่างเวลาที่อยู่ในสมณเพศ ท่านจะทำพินัยกรรมยกให้ใครก็ได้ แต่ถ้าท่านไม่ได้ทำพินัยกรรมไว้ ทรัพย์สินเหล่านั้นจะตกเป็นสมบัติของวัดที่เป็นภูมิลำเนาของท่าน โดยจะไม่ตกไปยังทายาทโดยธรรมทั้งปวง แต่ถ้าเป็นทรัพย์สินที่ท่านมีอยู่ก่อนอุปสมบทย่อมตกไปเป็นของทายาทได้เช่นเดียวกับคนธรรมดาทั่วไป

๒. ใครบ้างมีสิทธิได้รับมรดก

คนที่จะมีสิทธิได้รับมรดกแยกออกเป็น ๒ ประเภท คือ “ทายาทโดยธรรม” อันได้แก่ทายาทที่มีสิทธิตามกฎหมาย ประเภทหนึ่ง และ “ผู้รับพินัยกรรม” ซึ่งได้แก่ทายาทที่มีสิทธิตามพินัยกรรม อีกประเภทหนึ่ง

ถ้าผู้ตายทำพินัยกรรมยกทรัพย์มรดกให้ใคร ผู้รับพินัยกรรมย่อมได้รับมรดกตามนั้น และถ้าทำพินัยกรรมยกมรดกให้ใครหมดแล้ว ทายาทโดยธรรมก็จะไม่ได้รับมรดกเลย กล่าวโดยสรุปก็คือ ทายาทโดยธรรมจะได้รับมรดกก็ต่อเมื่อไม่มีพินัยกรรมระบุไว้เป็นอย่างอื่น หรือถึงมีพินัยกรรมกำหนดไว้แล้วแต่ยังมีทรัพย์สินหลงเหลืออยู่ ทรัพย์สินที่หลงเหลืออยู่จึงจะตกไปถึงทายาทโดยธรรม

แต่ทายาทโดยธรรมอาจเป็นผู้รับมรดกในฐานะผู้รับพินัยกรรมด้วยก็ได้ เช่น พ่อทำพินัยกรรมยกทรัพย์สินให้ลูก ๆ จนหมด ในกรณีนั้นลูก ๆ จะได้รับมรดกในฐานะเป็นผู้รับพินัยกรรม ส่วนในฐานะที่เป็นทายาทโดยธรรม ถ้าบังเอิญมีทรัพย์สินเหลืออยู่ ทรัพย์สินเหล่านั้นก็จะตกได้แก่ลูก ๆ ในฐานะทายาทโดยธรรมด้วย

คุณสมบัติเบื้องต้นของคนธรรมดา (ไม่ใช่นิติบุคคล) ที่จะมีสิทธิได้รับมรดก ได้แก่ คนที่มีสภาพบุคคลแล้วในเวลาที่เจ้ามรดกตาย ซึ่งกฎหมายอธิบายว่า สภาพบุคคลย่อมเริ่มแต่เมื่อคลอดแล้วอยู่รอดเป็นทารกและสิ้นสุดลงเมื่อตาย ถ้าคลอดออกมาแล้วตายทันที ก็ไม่ถือว่ามีสภาพบุคคล แล้วเลยพลอยไม่มีสิทธิได้รับมรดกไปด้วย อย่างไรก็ตาม ทารกที่ยังอยู่ในครรภ์มารดาในเวลาที่เจ้ามรดกตาย หากภายหลังเมื่อเจ้ามรดกตายแล้วจึงคลอดออกมาแล้วอยู่รอดเป็นทารก กฎหมายถือว่าทารกนั้นมีสิทธิที่จะได้รับมรดกได้ แต่ต้องเกิดมาภายใน ๓๑๐ วันนับแต่วันที่เจ้ามรดกตาย ถ้าเกิดภายหลังจากนั้น คงยากที่จะถือได้ว่าเป็นทายาทของผู้ตาย ส่วนจะเป็นทายาทหรือลูกของใคร ไม่ใช่เรื่องที่บทความนี้จะวิจารณ์ให้สะเทือนใจเจ้ามรดก

ทายาทโดยธรรมนั้น กฎหมายแบ่งออกเป็น ๖ ลำดับ มีสิทธิรับมรดกก่อนหลังดังต่อไปนี้

(๑) ผู้สืบสันดาน อันได้แก่ ลูก หลาน เหลน ลื้อ และต่อๆ ไปจนสุดสาย

(๒) บิดามารดา

(๓) พี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน

(๔) พี่น้องร่วมบิดาหรือร่วมมารดาเดียวกัน

(๕) ปู่ ย่า ตา ยาย

(๖) ลุง ป้า น้า อา

ใครก็ตามที่เป็นทายาทและบวชเป็นพระภิกษุ จะเรียกร้องเอาทรัพย์มรดกในฐานะที่เป็นทายาทโดยธรรมไม่ได้ จะต้องสึกออกมาจากสมณเพศเสียก่อนจึงจะเรียกร้องเอาได้ เว้นแต่จะมีผู้ทำพินัยกรรมยกให้แก่ท่าน ท่านอาจเรียกร้องเอาได้แม้ว่าจะยังอยู่ในสมณเพศ

๓. สิทธิการรับมรดกในระหว่างทายาทโดยธรรมด้วยกันเองและคู่สมรส

(๑) ถ้ามีทายาทลำดับ (๑) คือผู้สืบสันดานแล้ว ทายาทในลำดับอื่น ๆ หมดสิทธิที่จะได้รับมรดกโดยสิ้นเชิง ยกเว้นทายาทลำดับ (๒) และคู่สมรสแล้ว ซึ่งต่างจะมีสิทธิรับมรดกเสมือนหนึ่งเป็นผู้สืบสันดานคนหนึ่ง เช่น ผู้ตาย มีภริยา ๑ คน มีลูก ๒ คน (สมมุติให้ชื่อ”เพชร” กับ “ทอง” จะได้สะดวกในการอ้างถึงในภายหลัง) มีบิดา และมารดา ในกรณีนี้มรดกจะแบ่งกันระหว่าง ภริยาลูกและบิดามารดาคนละเท่า ๆ กัน คือแต่ละคนได้รับหนึ่งในห้า

ในระหว่างทายาทที่เป็นผู้สืบสันดาน (ทายาทลำดับ(๑)) ด้วยกัน คนที่เป็นลูกของเจ้ามรดกเท่านั้นจึงจะมีสิทธิได้รับมรดก ส่วนบรรดาหลาน เหลน หรือลื้อ จะไม่มีสิทธิได้รับมรดกโดยตรง แต่ถ้าลูกคนใดตายไปก่อนเจ้ามรดก และลูกคนนั้นมีลูก หรือมีหลาน (ซึ่งจะเป็นหลานหรือเหลนของเจ้ามรดก) ลูกหรือหลานเหล่านั้นก็จะรับมรดกแทนที่พ่อของตน เช่นในกรณีตัวอย่างข้างต้น ปรากฏว่าเพชร ตายก่อนพ่อซึ่งเป็นเจ้ามรดก ถ้าเพชรไม่มีลูกหรือหลาน มรดกก็จะตกได้แก่ทอง ภริยาของเจ้ามรดก บิดา มารดา ในกรณีนี้ ทองจึงมีสิทธิได้รับมรดก ๑ ใน ๔ แต่ถ้าเพชรมีลูกหรือมีหลานที่ยังมีชีวิตอยู่ ลูกหรือหลานของเพชรก็จะเข้ามารับมรดกแทนที่เพชร (ซึ่งเรียกว่าผู้รับมรดกแทนที่) ในกรณีนี้ มรดกจึงยังคงต้องแบ่งเป็น ๕ ส่วน อย่างเดิม ส่วนที่เป็นของเพชรนั้น ลูก ๆ ของเพชรก็นำไปแบ่งกันเอง ถ้าเพชรมีลูก ๓ คน ลูก ๓ คนก็จะได้มรดกไป ๑ ส่วน แล้วนำหนึ่งส่วนนั้นไปแบ่งในระหว่างกันเอง ต่างคนต่างจะได้ ๑ ใน ๓ ของมรดกที่ได้รับมา (เช่น มีมรดกมีมูลค่า ๕ ล้านบาท ในส่วนของเพชรจะได้มา ๑ ล้านบาท ลูก ๆ ของเพชรจะได้คนละ ๓ แสนกว่าบาท) ถ้าลูกของเพชรคนหนึ่งคนใดตาย แต่มีลูก (หลานของเพชร) ยังมีชีวิตอยู่ ส่วนที่เป็นของลูกของเพชรที่ตายไปนั้นก็จะตกไปยังหลานของเพชร และเป็นเช่นนี้จนกว่าแต่ละสายจะสิ้นสุดลง

(๒) ถ้าผู้ตายไม่มีผู้สืบสันดานและผู้สืบสันดานไม่มีผู้รับมรดกแทนที่ แต่มีบิดามารดา มรดกย่อมตกไปยังคู่สมรสกึ่งหนึ่งและตกเป็นของบิดามารดาอีกกึ่งหนึ่ง โดยทายาทลำดับถัด ๆ ไปจะไม่มีสิทธิได้รับมรดกเลย แต่ถ้าบิดามารดาตายไปก่อน ก็เป็นอันจบกันไป จะมีการรับมรดกแทนที่บิดามารดาไม่ได้ มรดกย่อมตกไปสู่ทายาทลำดับ ๓ ต่อไป

(๓) สำหรับทายาทลำดับ (๓) คือ พี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน ในกรณีนี้คู่สมรสจะได้รับมรดกไปกึ่งหนึ่ง ส่วนอีกกึ่งหนึ่งตกเป็นของ พี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน มีกี่คนก็แบ่งไปเท่า ๆ กัน ถ้าคนหนึ่งคนใดตายไปก่อนเจ้ามรดก ถ้ามีลูกหลาน ลูกหลานก็เข้ามารับมรดกแทนที่กันต่อ ๆ ไปจนสุดสาย

(๔) ถ้าไม่มีทายาทลำดับ (๓) และไม่มีผู้รับมรดกแทนที่ มรดกย่อมตกไปสู่ทายาทลำดับ (๔) คือ พี่น้องร่วมบิดาหรือร่วมมารดาเดียวกัน การแบ่งมรดกจะแบ่งให้คู่สมรสก่อน ๒ ใน ๓ ส่วน ที่เหลือจึงจะตกได้แก่ทายาทลำดับ (๔) ซึ่งต้องไปแบ่งกันเองคนละเท่า ๆ กัน และก็เช่นเดียวกับทายาทลำดับ (๓) คือ ถ้าใครตายไปก่อน มรดกของคนนั้นก็จะถูกทายาทของตนรับมรดกแทนที่ต่อ ๆ ไปจนสุดสาย

(๕) ถ้าไม่มีทายาทลำดับ (๔) และไม่มีผู้รับมรดกแทนที่ มรดกจะตกไปสู่ทายาทลำดับ (๕) คือ ปู่ย่าตายาย ซึ่งคู่สมรสของผู้ตายจะได้รับมรดกก่อน ๒ ใน ๓ ส่วน ส่วนที่เหลือจึงจะนำไปแบ่งกันในระหว่างปู่ ย่า ตา ยาย ถ้าใครตายก่อนก็เป็นอันหมดสิทธิไป เพราะจะไม่มีการรับมรดกแทนที่เหมือนทายาทลำดับอื่น ๆ

(๖) ถ้าไม่มีปู่ย่าตายาย มรดกจะตกไปสู่ทายาทลำดับ (๖) คือ ลุง ป้า น้า อา ซึ่งคู่สมรสของผู้ตายจะได้รับมรดกก่อน ๒ ใน ๓ ที่เหลือจึงจะนำมาแบ่งปันกันกับลุง ป้า น้า อา ถ้าใครตายไปก่อนมรดกของคนนั้นก็จะตกทอดไปสู่ทายาทของคนนั้นอันเป็นการรับมรดกแทนที่

(๗) ถ้าไม่มีทายาททั้ง ๖ ลำดับและไม่มีผู้รับมรดกแทนที่เหลืออยู่เลย คงเหลือแต่คู่สมรสคนเดียว มรดกทั้งหมดจะตกได้แก่คู่สมรส

(๘) ถ้าใครสิ้นไร้ไม้ตอกเสียจนแม้แต่คู่สมรสก็ไม่มี ทายาทก็ไม่มีสักลำดับเดียว ทั้งยังมิได้ทำพินัยกรรมไว้ด้วย มรดกย่อมตกได้แก่แผ่นดิน

๔. การถูกตัดออกจากกองมรดก

การที่ทายาทโดยธรรมจะถูกตัดไม่ให้ได้รับมรดก อาจมีได้ ๓ กรณี คือ

(๑) ถูกกำจัดมิให้ได้มรดก ซึ่งเกิดขึ้นได้ในกรณีดังต่อไปนี้
ทายาทคนใดยักย้าย หรือปิดบังทรัพย์มรดกเท่าส่วนที่ตนจะได้หรือมากกว่านั้น โดยฉ้อฉล หรือรู้อยู่ว่าตนทำให้เสื่อมประโยชน์ของทายาทคนอื่น ทายาทคนนั้นจะถูกกำจัดมิให้ได้รับมรดกเลย แต่ถ้ายักย้ายหรือปิดบังน้อยกว่าส่วนที่ตนจะได้ ก็จะถูกกำจัดมิให้ได้มรดกเฉพาะส่วนที่ได้ยักย้ายหรือปิดบังไว้
ทายาทที่ต้องคำพิพากษาถึงที่สุดว่าได้เจตนากระทำ หรือพยายามกระทำให้เจ้ามรดกหรือผู้มีสิทธิได้รับมรดกก่อนตนถึงแก่ความตายโดยมิชอบด้วยกฎหมาย
ทายาทที่ได้ฟ้องเจ้ามรดกหาว่าทำความผิดโทษประหารชีวิต และตนเองกลับต้องคำพิพากษาถึงที่สุดว่ามีความผิดฐานฟ้องเท็จหรือทำพยานเท็จ ถ้าฟ้องแล้วปรากฏว่าเจ้ามรดกมีความผิดจริง หรือถึงแม้ไม่ผิดจริงแต่มิใช่เพราะเหตุตนนำความเท็จหรือพยานเท็จมาสู่ศาล ทายาทผู้นั้นก็ยังมีสิทธิได้รับมรดกตามปกติ
ทายาทที่รู้อยู่แล้วว่าเจ้ามรดกถูกฆ่าโดยเจตนา แต่มิได้นำความขึ้นร้องเรียนเพื่อที่จะเอาตัวคนทำผิดมาลงโทษ เว้นแต่ทายาทนั้นอายุยังไม่ครบ ๑๖ ปีบริบูรณ์ หรือเป็นคนวิกลจริตไม่สามารถรู้ผิดชอบ หรือผู้ที่ฆ่านั้นเป็นสามี ภริยา หรือผู้บุพการี หรือผู้สืบสันดานของตน
ทายาทที่ฉ้อฉลหรือข่มขู่ให้เจ้ามรดกทำ หรือเพิกถอน หรือเปลี่ยนแปลงพินัยกรรมแต่บางส่วนหรือทั้งหมดที่เกี่ยวกับทรัพย์มรดก หรือไม่ให้ทำการดังกล่าว
ทายาทที่ปลอม ทำลาย หรือปิดบังพินัยกรรมแต่บางส่วนหรือทั้งหมด

ทายาทที่ถูกกำจัดมรดกดังกล่าวข้างต้นนั้น กฎหมายถือเสมือนหนึ่งว่าทายาทคนนั้นตายไปแล้ว ดังนั้นถ้าทายาทคนนั้นมีทายาทรับช่วงต่อ ทายาทที่รับช่วงต่อย่อมสามารถรับมรดกแทนที่ได้ และในกรณีที่ถูกกำจัดตามข้อ (ข) ถึง (ฉ) ถ้าเจ้ามรดกให้อภัยไว้เป็นลายลักษณ์อักษร ก็สามารถรับมรดกได้ตามปกติ

(๒) การถูกตัดมิให้รับมรดก เจ้ามรดกอาจตัดทายาทโดยธรรมของตนคนใดมิให้รับมรดกก็ได้ ด้วยวิธี ดังต่อไปนี้
ด้วยการแสดงเจตนาไว้อย่างชัดแจ้ง ซึ่งอาจทำได้ ๒ วิธี คือ
๑ แสดงเจตนาไว้ในพินัยกรรม

๒ ทำเป็นหนังสือมอบไว้แก่พนักงานเจ้าหน้าที่
ทำพินัยกรรมยกทรัพย์มรดกให้คนอื่นจนหมด ทายาทโดยธรรมคนใดไม่ได้รับมรดกตามพินัยกรรม ทายาทคนนั้นย่อมถือว่าถูกตัดมิให้รับมรดก
(๓) การสละมรดก ทายาทที่มีสิทธิได้รับมรดก อาจไม่ประสงค์จะรับมรดกดังกล่าวก็ได้ โดยทำเป็นหนังสือแสดงเจตนาสละมรดกไว้ให้ชัดแจ้ง หรือจะทำเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความก็ได้ แต่การสละมรดกนั้นจะสละเพียงบางส่วน หรือสละโดยมีเงื่อนไข หรือเงื่อนเวลาไม่ได้

การสละมรดกจะทำก่อนที่เจ้ามรดกตายไม่ได้ แต่เมื่อเจ้ามรดกตายแล้วจะสละมรดกเมื่อไรก็ได้ และเมื่อสละมรดกแล้วให้มีผลย้อนหลังไปจนถึงวันที่เจ้ามรดกถึงแก่ความตาย

การสละมรดกเป็นเรื่องเฉพาะตัว เมื่อได้สละมรดกแล้วทรัพย์สินส่วนที่สละไปย่อมตกไปเป็นของผู้สืบสันดานของคนสละมรดก

๕. การทำพินัยกรรม

เมื่อตายแล้ว ทรัพย์สินและหนี้สินทั้งปวงย่อมตกไปยังทายาทโดยธรรมตามลำดับดังที่ได้กล่าวมาข้างต้น แต่ถ้าผู้ใดไม่ต้องการให้ทรัพย์สินของตนตกไปยังทายาทดังกล่าวก็ดี หรือไม่ต้องการให้ตกไปตามสัดส่วนที่ได้ว่ามาแล้วก็ดี ก็สามารถกำหนดให้ตกไปยังบุคคล หรือตามสัดส่วนที่ต้องการได้ ด้วยวิธีการทำพินัยกรรมไว้ก่อนที่ตนจะตาย

ลักษณะของพินัยกรรมจะต้องเป็นการแสดงเจตนากำหนดการเผื่อตายว่าเมื่อตนตายไปแล้วจะให้จัดการทรัพย์สินของตนเองหรือในเรื่องอื่นอย่างไร และเมื่อได้สั่งการไว้แล้ว จะเปลี่ยนแปลงในภายหลังอย่างไรก็ได้ โดยถือเอาพินัยกรรมฉบับสุดท้ายเป็นหลัก

ในขณะที่ทำพินัยกรรม ผู้ทำพินัยกรรมจะต้องมีอายุครบสิบห้าปีแล้ว และมีสติรู้ตัวว่าตนกำลังทำอะไร และต้องการอย่างไร ส่วนเมื่อทำพินัยกรรมเสร็จแล้ว จะหมดสติ หรือไม่รู้ตัวก็ไม่เป็นไร

คนที่เป็นพยานในพินัยกรรม หรือผู้เขียนพินัยกรรม จะเป็นผู้รับพินัยกรรมไม่ได้

(๑) วิธีทำพินัยกรรม

การทำพินัยกรรม อาจทำได้ด้วยวิธีดังต่อไปนี้

๑. ทำเป็นหนังสือ ลงวัน เดือน ปี ในขณะที่ทำพินัยกรรม และผู้ทำพินัยกรรมต้องลงลายมือชื่อไว้ต่อหน้าพยานอย่างน้อยสองคนพร้อมกัน โดยพยานทั้งสองคนจะต้องลงลายมือชื่อรับรองลายมือชื่อของผู้ทำพินัยกรรมไว้ในขณะนั้น

๒. พินัยกรรมเขียนเอง โดยผู้ทำพินัยกรรมทำเป็นเอกสารเขียนด้วยลายมือของตนเองทั้งฉบับ แล้วลงลายมือชื่อ วัน เดือน ปี ที่ทำพินัยกรรม

๓. พินัยกรรมอันเป็นเอกสารฝ่ายเมือง ซึ่งจะต้องทำตามขั้นตอนดังต่อไปนี้
ผู้ทำพินัยกรรมต้องไปแจ้งข้อความที่ประสงค์จะให้ใส่ไว้ในพินัยกรรมแก่นายอำเภอ ต่อหน้าพยานอีกอย่างน้อยสองคนพร้อมกัน
นายอำเภอต้องจดข้อความที่ผู้นั้นลงไว้ และอ่านข้อความนั้นให้ผู้ทำพินัยกรรมและพยานฟัง
เมื่อเห็นว่าข้อความถูกต้องแล้วให้ผู้ทำพินัยกรรมและพยานลงลายมือชื่อไว้เป็นสำคัญ
ให้นายอำเภอลงลายมือชื่อและ วัน เดือน ปี ทั้งจดลงไว้ด้วยตนเองว่าพินัยกรรมนั้นได้ทำขึ้นถูกต้องแล้ว และประทับตราตำแหน่งไว้เป็นสำคัญ

๔. ทำพินัยกรรมเป็นเอกสารลับ ซึ่งต้องทำด้วยวิธีดังต่อไปนี้
ผู้ทำพินัยกรรมต้องลงลายมือชื่อในพินัยกรรม
ผนึกพินัยกรรมแล้วลงลายมือชื่อคาบรอยผนึกนั้น
นำพินัยกรรมที่ผนึกนั้นไปแสดงต่อนายอำเภอและพยานอย่างน้อยสองคน และให้ถ้อยคำต่อบุคคลทั้งหมดดังกล่าวว่าเป็นพินัยกรรมของตน ผู้ทำพินัยกรรมไม่ได้เขียนเองโดยตลอด ต้องแจ้งนามและภูมิลำเนาของผู้เขียนให้ทราบด้วย
เมื่อนายอำเภอจดถ้อยคำ และวันเดือนปีที่นำพินัยกรรมมาแสดงไว้บนซองและประทับตราตำแหน่งแล้ว ให้นายอำเภอ ผู้ทำพินัยกรรม และพยาน ลงลายมือชื่อบนซองนั้น

๕. พินัยกรรมทำด้วยวาจา โดยปกติพินัยกรรมจะทำด้วยวาจาไม่ได้ เว้นแต่เมื่อมีพฤติการณ์พิเศษที่ไม่สามารถจะทำพินัยกรรมตามแบบอื่นได้ เช่นตกอยู่ในอันตรายใกล้ความตาย หรือเวลามีโรคระบาด หรือสงคราม การทำพินัยกรรมด้วยวาจาจะต้องปฏิบัติดังนี้
ผู้ทำพินัยกรรมต้องแสดงเจตนากำหนดข้อพินัยกรรมต่อหน้าพยานอย่างน้อยสองคนซึ่งอยู่พร้อมกัน ณ ที่นั้น
พยานสองคนนั้นต้องไปแสดงตนต่อนายอำเภอโดยมิชักช้า และแจ้งข้อความที่ผู้ทำพินัยกรรมได้สั่งไว้ พร้อมทั้งแจ้งวัน เดือน ปี สถานที่ที่ทำพินัยกรรม และพฤติการณ์พิเศษนั้นไว้ด้วย
ให้นายอำเภอจดข้อความที่พยานแจ้งไว้ และพยานสองคนนั้นต้องลงลายมือชื่อไว้ ถ้าพยานไม่รู้หนังสือลงลายมือชื่อไม่ได้ ก็ต้องพิมพ์ลายนิ้วมือโดยมีพยานอีกสองคนลงลายมือชื่อรับรองลายพิมพ์นิ้วมือนั้น
ถ้าปรากฏว่าผู้ทำพินัยกรรมไม่ได้ตายและอยู่ในฐานะที่จะทำพินัยกรรมแบบอื่นได้ พินัยกรรมด้วยวาจานั้นเป็นอันสิ้นผลเมื่อพ้นหนึ่งเดือนนับแต่เวลาที่กลับมาสู่ฐานะที่จะทำพินัยกรรมแบบอื่นได้

๖. พินัยกรรมทำในต่างประเทศ ถ้าคนในบังคับไทยจะทำพินัยกรรมในต่างประเทศ จะทำตามแบบต่าง ๆ ดังกล่าวข้างต้น หรือจะทำตามแบบที่กฎหมายของประเทศที่ทำพินัยกรรมบัญญัติไว้ก็ได้



มีชัย ฤชุพันธุ์




ที่มา : http://www.meechaithailand.com/ver1/?module=3&action=view&type=10&mcid=20








วันจันทร์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

การจดทะเบียนแบ่งทรัพย์สินระหว่างคู่สมรส

         การจดทะเบียนแบ่งทรัพย์สินระหว่างคู่สมรส


ความหมาย



การจดทะเบียนแบ่งทรัพย์สินระหว่างคู่สมรส คือ การที่สามีและภริยา หย่าขาดจากกัน และได้
ตกลงแบ่งหรือโอนทรัพย์สินที่เป็นสินสมรสให้แก่กัน ซึ่งจะเป็นการตกลงแบ่งสินสมรส
แต่ละสิ่งให้แต่ละฝ่าย
เท่า ๆ กัน ทุก ๆ สิ่ง ทุก ๆ อย่าง ก็ทำได้ หรืออาจตกลงแบ่งสินสมรส สิ่งหนึ่งสิ่งใดให้แก่อีกฝ่ายหนึ่งทั้งหมด หรือเกินกว่าครึ่งหนึ่งแห่งราคาของสินสมรสนั้นก็ทำได้


กฎหมายและคำสั่งที่เกี่ยวข้อง

- ป
... มาตรา ๑๔๖๕ - ๑๔๙๓ , ๑๕๓๒ - ๑๕๓๕
-
คำสั่งกรมที่ดิน ที่ ๖/๒๔๙๘ ลงวันที่ ๒๑ พฤษภาคม ๒๔๙๘ เรื่อง จดทะเบียนประเภทแบ่งทรัพย์สินระหว่างคู่สมรส




สาระสำคัญ





- ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ได้วางหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการแบ่งประเภททรัพย์สินระหว่างสามีภริยาไว้ตามมาตรา ๑๔๗๐ ว่า “ทรัพย์สินระหว่างสามีภริยา นอกจากที่ได้แยกไว้เป็นสินส่วนตัวย่อมเป็น
สินสมรส
กฎหมายดังกล่าวได้แยกทรัพย์สินระหว่างสามีภริยาเป็น ๒ ประเภท คือ ทรัพย์สินที่เป็นกรรมสิทธิ์ของคู่สมรสฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งโดยเฉพาะเรียกว่า สินส่วนตัว
และทรัพย์สินที่เป็นกรรมสิทธิ์ร่วมกันระหว่างคู่สมรส
ทั้งสองฝ่ายเรียกว่า
สินสมรส






. สินส่วนตัว


มาตรา ๑๔๗๑ สินส่วนตัวได้แก่ทรัพย์สิน
(๑) ที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีอยู่ก่อนสมรส
(๒) ที่เป็นเครื่องใช้ส่วนตัว เครื่องแต่งกาย หรือเครื่องประดับกายตามควรแก่ฐานะหรือเครื่องมือเครื่องใช้ที่จำเป็นในการประกอบอาชีพหรือวิชาชีพของคู่สมรสฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
(๓) ที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้มาระหว่างสมรสโดยการรับมรดกหรือโดยการให้โดยเสน่หา
(๔) ที่เป็นของหมั้น

มาตรา ๑๔๗๒ “สินส่วนตัวนั้น ถ้าได้แลกเปลี่ยนเป็นทรัพย์สินอื่นก็ดี ซื้อทรัพย์สินอื่นมาก็ดี หรือขายได้เป็นเงินมาก็ดี ทรัพย์สินอื่นหรือเงินที่ได้มานั้นเป็นสินส่วนตัว
สินส่วนตัวที่ถูกทำลายไปทั้งหมดหรือแต่บางส่วน แต่ได้ทรัพย์สินอื่นหรือเงินมาทดแทนทรัพย์สินอื่นหรือเงินที่ได้มานั้นเป็นสินส่วนตัว”


๒. สินสมรส


มาตรา ๑๔๗๔ สินสมรสได้แก่ทรัพย์สิน

()
ที่คู่สมรสได้มาระหว่างสมรส
(๒) ที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้มาระหว่างสมรสโดยพินัยกรรม หรือโดยการให้เป็นหนังสือเมื่อพินัยกรรมหรือหนังสือยกให้ระบุว่าเป็นสินสมรส
() ที่เป็นดอกผลของสินส่วนตัว

ถ้ากรณีเป็นที่สงสัยว่าทรัพย์สินอย่างหนึ่งเป็นสินสมรสหรือมิใช่ ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่า
เป็น ”สินสมรส

มาตรา ๑๕๓๓ “เมื่อหย่ากันให้แบ่งสินสมรสให้ชายและหญิงได้ส่วนเท่ากัน”


หลักเกณฑ์การสอบสวน



-
เมื่อมีผู้ยื่นคำขอจดทะเบียนแบ่งทรัพย์สินระหว่างคู่สมรสตามนัยมาตรา ๑๕๓๓ แห่ง ป...
ให้พนักงานเจ้าหน้าที่สอบสวนและเรียกหลักฐาน ดังนี้
()
เมื่อสามีภรรยาหย่าขาดจากกัน และประสงค์จะแบ่งทรัพย์สินระหว่างคู่สมรสเกี่ยวกับที่ดิน โดยขอให้เจ้าพนักงานที่ดินจดทะเบียนโอนที่ดินให้แก่กันและกันแล้ว ให้เจ้าพนักงานที่ดินเรียกหลักฐานการหย่าขาดจากสามีภรรยา เช่น คำพิพากษาหรือหนังสือหย่าระหว่างกันมาตรวจสอบ ถ้าในกรณีที่จะต้องจดทะเบียนหย่า ให้เรียกหลักฐานการจดทะเบียนหย่ามาแสดงด้วย() เมื่อเห็นว่ามีการหย่าขาดจากกันถูกต้องแล้ว ให้เจ้าพนักงานที่ดินรับจดทะเบียนในประเภท แบ่งทรัพย์สินระหว่างสมรสโดยให้คู่สมรสยื่นคำขอต่อพนักงานเจ้าหน้าที่และแก้ทะเบียนตามตัวอย่างท้ายคำสั่งนี้



วิธีดำเนินการ


การจัดทำคำขอฯ (.. ) คำขอ (.. ) เป็นไปตามคำสั่งกรมที่ดิน ที่ ๖/๒๔๙๘ ลงวันที่ ๒๑ พฤษภาคม ๒๔๙๘ เรื่อง จดทะเบียนประเภทแบ่งทรัพย์สินระหว่างคู่สมรส

มาตรา
๑๕๓๓ แห่ง ป... บัญญัติไว้เพียงว่า เมื่อหย่ากันให้แบ่งสินสมรสให้ชายและหญิงได้สัดส่วน
เท่ากัน มิได้ระบุว่าจะต้องแบ่งสินสมรสให้แต่ละฝ่ายได้เท่า ๆ กัน ทุกสิ่งทุกอย่าง คู่สมรสจึงอาจตกลงแบ่งสินสมรสสิ่งหนึ่งสิ่งใดแก่อีกฝ่ายหนึ่งทั้งหมดหรือเกินกว่าครึ่งหนึ่งแห่งราคาของสินสมรสนั้นได้ หากทรัพย์สินนั้นได้ตกลงกันไว้ในเวลาจดทะเบียนหย่า ข้อตกลงนั้นย่อมจะมีผลบังคับผูกพันให้เป็นไปตามข้อตกลงได้ และกรณี

เช่นนี้ส่วนที่เกินครึ่งก็มิใช่เป็นการให้โดยเสน่หา
(เทียบฎีกาที่ ๑๔๐๖/๒๕๑๗) พนักงานเจ้าหน้าที่ไม่จำต้องพิจารณาว่าส่วนแบ่งตามที่ตกลงกันนั้น จะเท่ากันหรือไม่ ก็ย่อมจดทะเบียนประเภทแบ่งทรัพย์สินระหว่างคู่สมรสได้
(หนังสือกรมที่ดิน ที่ มท ๐๗๐๘/๒๖๗๖๑ ลงวันที่ ๒๗ พฤศจิกายน ๒๕๒๗ ตอบข้อหารือจังหวัดชลบุรี เรื่อง หารือการจดทะเบียนที่ดิน เวียนตามหนังสือกรมที่ดิน ที่ มท ๐๗๐๘/ว ๓๗๐๐๖ลงวันที่ ๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๒๗)



แนวทางการวินิจฉัยที่สำคัญเกี่ยวกับการแบ่งทรัพย์สินระหว่างคู่สมรส




๑. การจดทะเบียนลงชื่อคู่สมรสเป็นการจดทะเบียนลงชื่อสามีภรรยาในหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินซึ่งเป็นสินสมรส ตามนัยมาตรา ๑๔๗๕ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เมื่อการสมรสสิ้นสุดลงไปไม่ว่าด้วยเหตุใด เช่น ด้วยความตาย หรือ หย่า ฯ คู่สมรสย่อมไม่ใช่สามีภรรยาอีกต่อไป และสินสมรสก็สิ้นสภาพ แม้ยังมิได้มีการตกลงแบ่งทรัพย์สินระหว่างคู่สมรสทรัพย์สินนั้นก็คงเป็นกรรมสิทธิ์รวมธรรมดาเท่านั้น (คำพิพากษาฎีกา ที่ ๑๕๒๓/๒๕๑๙) ดังนั้น เมื่อคู่สมรสฝ่ายที่มีชื่อในหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินถึงแก่ความตายแล้ว จึงไม่อาจจดทะเบียนลงชื่อคู่สมรสได้ และเมื่อตามมาตรา ๑๕๓๒ วรรคแรก แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ก็บัญญัติว่า เมื่อหย่าแล้วให้จัดการแบ่งทรัพย์สินของสามีภรรยากรณีจึงเป็นเรื่องที่ต้องไปจัดการแบ่งทรัพย์สินระหว่างสามีภรรยากัน และขอจดทะเบียนในประเภท แบ่งทรัพย์สินระหว่างคู่สมรสแต่การจดทะเบียนแบ่งทรัพย์สินระหว่างคู่สมรสเช่นนี้เป็นการขอจดทะเบียนสิทธิในที่ดินโดยประการอื่นนอกจากนิติกรรมจะต้องให้ผู้ขอนำคำสั่งศาลซึ่งแสดงว่าตนมีสิทธิหรือได้รับส่วนแบ่งในสินสมรสแล้วมาขอจดทะเบียนสิทธิตามข้อ ๙ แห่งกฎกระทรวงฉบับที่ ๗ (.. ๒๔๙๗) ออกตามความในพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน
..
๒๔๙๗


.
การจดทะเบียนกรณีได้มาซึ่งที่ดินในระหว่างอยู่กินฉันสามีภรรยาแล้ว ต่อมาคู่กรณีฝ่ายที่มีชื่อในหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินถึงแก่ความตาย คู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งที่ยังมีชีวิตอยู่จะมาขอจดทะเบียนให้ปรากฏชื่อร่วมในหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินเป็นการจดทะเบียนสิทธิในที่ดินโดยประการอื่นนอกจากนิติกรรม ผู้ขอจะต้องนำ
คำสั่งศาลที่แสดงว่าตนมีสิทธิหรือได้รับส่วนแบ่งในที่ดินอันเป็นทรัพย์สินร่วมกันมาขอจด
ทะเบียนสิทธิตามข้อ แห่งกฎกระทรวง ฉบับที่ ๗
(..๒๔๙๗) ออกตามความในพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน
..
๒๔๙๗

. ข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ปรากฏว่า ญ. กับ ช. สมรสกันเมื่อปี ๒๕๒๒ ระหว่างสมรส ญ. ได้ซื้อที่ดินโฉนดที่ดินเมื่อปี ๒๕๒๘ และปี ๒๕๓๔ ตามลำดับที่ดินดังกล่าวจึงเป็นสินสมรสตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๔๗๔ ภายหลังทั้งสองหย่าขาดจากกัน การสมรสจึงสิ้นสุดลงและบันทึกข้อตกลงยกสินสมรสให้แก่บุตร เป็นสัญญาแบ่งทรัพย์สินระหว่างสามีภรรยาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๕๓๒ และเป็นสัญญาเพื่อประโยชน์ของบุตรทั้งสองคน ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกตามมาตรา ๓๗๕ วรรคท้าย ดังนั้น ตราบใดที่บุตรของ ญ. กับ ช. ยังมิได้แสดงเจตนาถือเอาประโยชน์จากสัญญา ญ. กับ ช. จึงอาจตกลงกันเปลี่ยนแปลงหรือระงับสิทธิตามที่ตกลงกันไว้ได้ทุกเมื่อ (เทียบกับคำพิพากษาฎีกาที่ ๒๙๑/๒๕๔๑) แต่ในการที่ ญ. จะจดทะเบียนลงชื่อ ช. ในโฉนดที่ดินดังกล่าวซึ่งมีชื่อ ญ. ถือกรรมสิทธิ์ไว้แต่เพียงผู้เดียว ผู้ขอจะ
ต้องนำใบสำคัญการหย่ามาประกอบการขอจดทะเบียน เพื่อพนักงานเจ้าหน้าที่จะได้รับจดทะเบียนในประเภท

แบ่งทรัพย์สินระหว่างคู่สมรสตามนัยมาตรา
๑๕๓๒ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ การที่ ว.
ผู้รับมอบอำนาจนำหลักฐานทะเบียนสมรสมาแสดงทั้งยังให้ถ้อยคำยืนยันว่า ญ. กับ ช. ยังเป็นสามีภริยาที่ชอบด้วยกฎหมาย ทำให้พนักงานเจ้าหน้าที่เข้าใจว่า ทั้งสองยังเป็นสามีภริยาที่ชอบด้วยกฎหมายและรับจดทะเบียนให้ไปในประเภท ลงชื่อคู่สมรสตามนัยมาตรา ๑๔๗๕ แห่ง ป... อันเป็นการจดทะเบียนไปโดยคลาดเคลื่อน จึงควรดำเนินการเพิกถอนรายการจดทะเบียนลงชื่อคู่สมรสซึ่งจดทะเบียนในโฉนดที่ดินเมื่อปี ๒๕๔๒ ตามนัยมาตรา ๖๑ แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน สำหรับการจดทะเบียนให้ที่ดินเฉพาะส่วนระหว่าง ญ. กับ ช. ในลำดับถัดมา เมื่อเพิกถอนรายการจดทะเบียนลงชื่อคู่สมรสแล้ว โฉนดที่ดินจะกลับมีชื่อ ญ
. ถือกรรมสิทธิ์
แต่เพียงผู้
เดียวดังเดิมและไม่มีเหตุใดที่จะต้องจดทะเบียนให้เฉพาะส่วนแก่ ช. เพราะเมื่อที่ดินเป็นสินสมรส ช. ย่อมเป็นเจ้าของร่วมอยู่ด้วย ซึ่งเมื่อทั้งสองหย่าขาดจากกันแล้วที่ดินดังกล่าวย่อมคงไว้เพื่อการแบ่งสินสมรส
เท่านั้น การที่พนักงานเจ้าหน้าที่จดทะเบียนให้ที่ดินดังกล่าวเฉพาะส่วนของ ญ
. แก่ ช.
จึงเป็นไปโดยคลาดเคลื่อน ให้เพิกถอนเสีย


. โดยปกติแล้วการโอนมรดก พนักงานเจ้าหน้าที่ไม่ได้พิจารณาถึงสินสมรสว่าจะแบ่งแล้วหรือยัง แต่จะพิจารณาเพียงชื่อเจ้าของที่ดินที่มีกรรมสิทธิ์ในโฉนดที่ดินว่าเป็นชื่อของเจ้ามรดกหรือไม่เท่านั้น หากมีชื่อเจ้ามรดกแล้วทายาทย่อมมาขอจะทะเบียนรับโอนมรดกได้ และถ้าคู่สมรสจะมาขอแบ่งสินสมรสในกรณีที่ไม่มีพินัยกรรมระบุว่าเป็นสินสมรสแล้ว พนักงานเจ้าหน้าที่ก็จะไม่จดทะเบียนแบ่งสินสมรสให้ โดยถือว่าการแบ่งสินสมรสเป็นการได้มาโดยทางอื่นนอกจากนิติกรรม คู่สมรสที่ขอแบ่งจะต้องไปร้องขอให้ศาลสั่งมาเสียก่อน แต่ถ้าพินัยกรรมระบุชัดว่าที่ดินทุกแปลงเป็นสินสมรสระหว่างเจ้ามรดกและสามีแล้วการที่จะโอนมรดกให้แก่ทายาทไปทั้งหมด โดยไม่คำนึงว่าที่ดินที่โอนไปนั้นเป็นมรดกของเจ้ามรดกตกทอดแก่ทายาทหรือไม่นั้น ย่อมจะฝืนต่อข้อเท็จจริง แม้ว่าคู่สมรสของเจ้ามรดกจะยินยอมก็ตามจึงควรโอนมรดกให้เพียงบางส่วนเท่านั้น ส่วนที่เหลือให้
จดทะเบียนแบ่งสินสมรสให้คู่สมรสของเจ้ามรดกไป โดยถือว่าเมื่อพินัยกรรมระบุไว้ชัดแจ้งว่าที่ดินมรดกเป็นสินสมรส คู่สมรสของเจ้ามรดกจึงขอแบ่งฝ่ายเดียวได้ โดยอนุโลมตามนัยคำสั่งกรมที่ดินที่ ๖
/๒๔๙๘ ลงวันที่ ๒๑ พฤษภาคม ๒๔๙๘ เรื่อง จด
ทะเบียนแบ่งทรัพย์สินระหว่างคู่สมรส และเรียกเก็บค่าธรรมเนียมจดทะเบียนในประเภทไม่มีทุนทรัพย์


. แนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการที่คู่สมรสจะมาขอแบ่งสินสมรสในกรณีที่ไม่มีพินัยกรรมระบุไว้ว่าเป็นสินสมรส พนักงานเจ้าหน้าที่จะไม่จดทะเบียนแบ่งสินสมรสให้ โดยถือว่าการแบ่งสินสมรสเป็นการได้มาทางอื่นนอกจากนิติกรรม คู่สมรสที่ขอแบ่งจะต้องไปร้องขอให้ศาลสั่งมาเสียก่อน แม้โฉนดที่ดิน จะมีชื่อ ญ. เจ้ามรดกเพียงผู้เดียว อันเข้าข้อสันนิษฐานของกฎหมายว่าเป็นผู้มีสิทธิครอบครอง แต่ปรากฏว่าในพินัยกรรมของ ญ.
ระบุชัดว่า ทรัพย์สินทุกอย่างเป็นสินสมรสระหว่าง ญ
. กับ ช. และ ญ. มีเพียงหนึ่งในสามส่วนเท่านั้น โดยอ้างเหตุที่มีเพียงหนึ่งในสามส่วนว่าตนได้สมรสกับ ช. มาก่อนใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ ๕ และ
มีสินเดิมมาด้วยกันทั้งสองฝ่าย เมื่อพิจารณาพยานหลักฐานต่าง ๆ
แล้ว ปรากฏว่า ส
. บุตรคนหนึ่งของ ญ. กับ ช. ตามสำเนาทะเบียนบ้านเกิดเมื่อปี พ..๒๔๗๔ และที่ดินทั้งสามแปลงดังกล่าว ญ. ได้มาโดยการซื้อและรับให้ระหว่างปี พ..๒๔๔๓ - ๒๔๙๘ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ญ. และ ช. ได้สมรสกันมาก่อนใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ ๕ และที่ดินทั้งสามแปลงเป็นสินสมรสจริง เมื่อ ญ. ตาย ที่ดินส่วนที่เป็นมรดกของ ญ. ตาย ที่ดินส่วนที่เป็นมรดกของ ญ. ที่จะตกทอดไปยังทายาทจึงมีเพียงหนึ่งในสามส่วนเท่านั้น (เทียบฎีกาที่ ๒๖๒๘/๒๕๒๒)
ดังนั้น การแบ่งทรัพย์สินระหว่างคู่สมรสรายนี้ ช
. ย่อมจะขอแบ่งฝ่ายเดียวได้ โดยอนุโลมปฏิบัติตามนัยคำสั่งกรมที่ดินที่ ๖/๒๔๙๘ ลงวันที่ ๒๑ พฤษภาคม ๒๔๙๘ เรื่อง จดทะเบียนประเภทแบ่งทรัพย์สินระหว่างคู่สมรส และเรียกเก็บค่าธรรมเนียมในประเภทไม่มีทุนทรัพย์ เมื่อแบ่งแล้วหาก ช. จะขอรับโอนมรดกส่วนของ ญ. ก็ต้องคิดค่าธรรมเนียมตามส่วนของที่ดินที่เป็นมรดก


. กรณีที่ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าที่ดินเป็นสินสมรสระหว่าง ช. และ ญ.ให้ ญ. โอนให้ ช. ครึ่งหนึ่งตาม
สารบัญจดทะเบียนในโฉนดที่ดินดังกล่าวมีชื่อ ญ. ถือกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินจำนวน ๘๐๐ ส่วน เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาให้โอนให้ ช.
ครึ่งหนึ่ง และศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำนวนครึ่งหนึ่งของที่ดินที่ ญ. จะต้องโอนให้แก่ ช. จำนวนครึ่งหนึ่งของที่ดินที่ ญ. จะต้องโอนให้แก่ ช. จึงชัดเจนแล้วว่าหมายถึงจำนวน ๔๐๐ ส่วน ของที่ดินจำนวน ๘๐๐ ส่วนที่ ญ. ถือกรรมสิทธิ์ ซึ่งในระหว่างที่คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ ญ.
ได้
จดทะเบียนให้ ท
.
ถือกรรมสิทธิ์รวมเฉพาะส่วนของตนไปแล้วครึ่งหนึ่งจำนวน ๔๐๐ ส่วน ในจำนวน ๘๐๐ ส่วน
การจำหน่ายที่ดินดังกล่าวต้องถือว่าเป็นการจำหน่ายที่ดินสินสมรสเฉพาะส่วนของ ญ
. ฝ่ายเดียว ไม่ใช่ส่วนของ ช. ที่ดินส่วนที่เหลืออยู่อีก ๔๐๐ ส่วน จึงเป็นสินสมรสส่วนที่จะต้องแบ่งให้ ช. ตามคำพิพากษาของศาลทั้งหมด จึงชอบที่จะจดทะเบียนให้ ช. ตามคำขอได้ โดยจดทะเบียนในประเภทแบ่งทรัพย์สินระหว่างคู่สมรสเฉพาะส่วนตามคำพิพากษา........ ตามคำสั่งกรมที่ดิน ที่ ๖/๒๔๙๘ ลงวันที่ ๒๑ พฤษภาคม ๒๔๙๘ แต่โดยที่ ญ.
เป็น
ผู้ถือกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินแปลงดังกล่าว ไม่ได้เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ที่ดินเต็มทั้งแปลง กรณีนี้จึงให้หมายเหตุในเรื่องราวขอจดทะเบียนฯ
(.. ) และสารบัญจดทะเบียนว่า . ขอแบ่งทรัพย์สินระหว่างคู่สมรสเฉพาะส่วนของ ญ. ตามคำพิพากษา......... ส่วนของคนอื่นคงมีอยู่ตามเดิมและให้เรียกเก็บค่าธรรมเนียม
ประเภทไม่มี
ทุนทรัพย์ แปลงละ ๕๐ บาท


คำพิพากษาฎีกาที่เกี่ยวข้อง


๑.

คำพิพากษาฎีกาที่ ๑๕๒๓/๒๕๑๙ สามีภริยาหย่ากันโดยคำพิพากษาและจดทะเบียนหย่าแล้ว
สินบริคณห์สิ้นสภาพ แม้ยังมิได้แบ่งก็เป็นแต่กรรมสิทธิ์รวมธรรมดา หญิงถูกยึดทรัพย์ ชายร้องขัดทรัพย์
ไม่ได้
ได้แต่ขอกันส่วนในฐานะเจ้าของรวมเท่านั้น ไม่ต้องร้องขอแยกสินบริคณห์เป็นส่วนของสามีและ
ภริยาก่อน


๒. คำพิพากษาฎีกาที่ ๒๖๙/๒๕๓๑ โจทก์และจำเลยที่ ๑ ทำหนังสือหย่าและตกลงแบ่งทรัพย์สินกันโดยชอบ แต่ก็ถือไม่ได้ว่าโจทก์กับจำเลยที่ ๑ หย่าขาดจากกันแล้วเพราะยังไม่ได้จดทะเบียนหย่าตาม ป.พ.พ. มาตรา ๑๕๑๕ แต่ข้อตกลงเรื่องการหย่าและข้อตกลงเรื่องแบ่งทรัพย์สินเช่นนี้เป็นข้อตกลงที่แยกจากกันไม่ได้ เมื่อยังไม่มีการหย่าทรัพย์สินนั้นคงเป็นสินสมรสอยู่ตามเดิม โจทก์อ้างไม่ได้ว่าโจทก์เป็นเจ้าของทรัพย์พิพาทแต่ผู้เดียว........


๓. คำพิพากษาฎีกาที่ ๓๙๖๑/๒๕๓๕ ตาม ป... มาตรา ๑๕๓๓ การจะแบ่งสินสมรสได้ต้องมีการหย่ากันเท่านั้น เมื่อไม่มีการหย่าแม้คู่สมรสจะจำหน่ายสินสมรสไปเพื่อประโยชน์ของตนแต่ฝ่ายเดียวมาตรา ๑๕๓๔ ก็ให้ถือเสมือนว่า ทรัพย์สินนั้นคงมีอยู่เพื่อจัดแบ่งสินสมรสตามมาตรา ๑๕๓๓ กฎหมายมิได้มุ่งประสงค์ให้แบ่งสินสมรสกันได้หากคู่สมรสยังเป็นสามีภริยากันอยู่........


๔. คำพิพากษาฎีกาที่ ๒๔๓๕/๒๕๓๖ ที่ดินพิพาทเป็นสินสมรสระหว่างโจทก์ที่ ๑ กับ ฟ. เมื่อหย่ากันแต่ละฝ่ายย่อมได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินดังกล่าวคนละครึ่ง ตาม ป... มาตรา ๑๕๓๓ แต่โจทก์ที่ ๒ ไม่ได้แสดงเจตนาแก่ ฟ. ว่าจะถือเอาประโยชน์จากสัญญาในส่วนที่ดินพิพาทซึ่ง ฟ. มีกรรมสิทธิ์อยู่ครึ่งหนึ่งก่อนที่ ฟ. จะตาย
กรรมสิทธิ์ในที่ดินดังกล่าวครึ่งหนึ่งจึงยังเป็นของ ฟ
. อยู่ ฟ. ย่อมแสดงเจตนาโดยพินัยกรรมกำหนดการเผื่อตายเกี่ยวกับที่ดินนั้นในส่วนของตนเพื่อให้มีผลบังคับตามกฎหมายเมื่อตนตายได้ ตาม ป...
มาตรา ๑๖๔๖


๕. คำพิพากษาฎีกาที่ ๓๘/๒๕๓๗ ..........บันทึกข้อตกลงแบ่งทรัพย์สินหลังทะเบียนการหย่าระหว่างโจทก์และจำเลยเป็นคู่สัญญา ซึ่งกันและกันแล้วยังมีบุตรผู้เยาว์ทั้งสองเข้ามาเกี่ยวข้องเป็น ผู้รับประโยชน์แห่งสัญญาระหว่างโจทก์และจำเลยด้วย คือ แทนที่โจทก์และจำเลยจะแบ่งทรัพย์สินระหว่างสามีภรรยาด้วยกันเอง โจทก์และจำเลยกลับยอมให้ที่ดินจำนวน ๒ แปลง และบ้านอีก ๑ หลัง ตกเป็นของผู้เยาว์ทั้งสองหลังจากโจทก์
และจำเลยจดทะเบียนหย่ากัน สัญญาดังกล่าวจึงเป็นสัญญาแบ่ง
ทรัพย์ระหว่างสามีภรรยา ตาม ป
... มาตรา ๑๕๓๒ และเป็นสัญญาเพื่อประโยชน์บุคคลภายนอก ตาม ... มาตรา ๓๗๔ มิใช่สัญญาให้ จึงไม่ตกอยู่ในบังคับของ ตาม ป... มาตรา ๕๒๕ แม้ไม่ได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ก็มีผลสมบูรณ์ตามกฎหมาย แม้จำเลยผิดสัญญา โจทก์ในฐานะคู่สัญญาย่อมมีอำนาจฟ้องให้จำเลยปฏิบัติตามสัญญาที่ให้ไว้ต่อกันได้


๖. คำพิพากษาฎีกาที่ ๒๔๑๔/๒๕๓๘ ห. กับ จ. เป็นสามีภริยากันโดยชอบด้วยกฎหมายตามกฎหมาย
ลักษณะผัวเมียโดยต่างมีสินเดิมมาด้วยกัน บุคคลทั้งสองได้ทรัพย์พิพาทมาในระหว่างสมรสจึงเป็นสินสมรส แม้ ห
. ถึงแก่ความตายในปี ๒๕๓๒ เมื่อ ป... บรรพ ๕ ใหม่ ประกาศใช้แล้วก็ตาม การแบ่งสินสมรสก็ต้องแบ่งตามกฎหมายลักษณะผัวเมีย บทที่ ๖๘ คือ ชายได้ ๒ ส่วน หญิงได้ ๑
ส่วน จะแบ่งคนละส่วนเท่ากัน
ตาม ป
...
มาตรา ๑๕๓๓ หาได้ไม่


๗. คำพิพากษาฎีกาที่ ๑๔๑๔/๒๕๓๙ ข้อตกลงที่ ป. จะโอนที่ดินให้แก่โจทก์ตามหนังสือสัญญาหย่า มิใช่เป็นการจะให้ที่ดินแก่โจทก์โดยตรง แต่เป็นการให้ที่เกิดจากข้อตกลงตามสัญญาแบ่งทรัพย์สินในการหย่าระหว่าง ป. กับโจทก์ ดังนี้ข้อตกลงจะให้ที่ดินดังกล่าวย่อมสมบูรณ์ มีผลผูกพันกันได้โดยไม่ต้องจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่..........


๘. คำพิพากษาฎีกาที่ ๓๓๕๒/๒๕๔๐ การที่จำเลยกับผู้ร้องจดทะเบียนหย่ากัน และทำบันทึกข้อตกลงเกี่ยวกับทรัพย์สิน ไว้หลังทะเบียนการหย่าว่าให้สินสมรสทั้งหมดรวมทั้งที่ดินพร้อมบ้านพิพาทตกเป็นของ
ผู้ร้องนั้น เป็นสัญญาแบ่งทรัพย์สินตาม ป
... มาตรา ๑๕๓๒ มีผลบังคับผูกพันสามีภริยานับแต่นายทะเบียนจดทะเบียนการหย่าแล้ว หากจำเลยที่ ๒ ผิดสัญญา ผู้ร้องในฐานะคู่สัญญาย่อมมีอำนาจฟ้องให้จำเลยที่ ๒ ปฏิบัติตามสัญญาได้ แต่เมื่อผู้ร้องยังไม่ได้จดทะเบียนการได้มาต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ที่ดินพร้อมบ้านพิพาทในส่วนที่เป็นสินสมรสของจำเลยที่ ๒ จึงยังไม่ตกเป็นของผู้ร้องตาม ป...
มาตรา ๑๒๙๙ วรรคหนึ่ง..........


๙. คำพิพากษาฎีกาที่ ๔๓๘๒/๒๕๔๐ โจทก์ฟ้องขอแบ่งที่ดินที่โจทก์อ้างว่าโจทก์จำเลยหามาได้ร่วมกันในระหว่างอยู่กินฉันสามีภริยาก่อนจดทะเบียนสมรส เท่ากับโจทก์ฟ้องขอแบ่งทรัพย์ที่โจทก์อ้างว่ามีอยู่ก่อน
สมรสอันเป็นสินส่วนตัวตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๔๗๑
()
ซึ่งแต่ละฝ่ายในฐานะเจ้าของย่อมมีอำนาจจัดการเองได้โดยลำพังตามมาตรา ๑๔๗๓ และมาตรา ๑๓๓๖ แม้ต่อมาจะจดทะเบียนสมรสกัน ก็ไม่ทำให้สินส่วนตัวนั้นกลับเป็นสินสมรสได้ จึงไม่ใช่การฟ้องร้องเกี่ยวกับทรัพย์สินระหว่างสามีภริยา อันต้องห้ามมิให้ฟ้องร้องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ ๕ หมวด ๔ ว่าด้วยทรัพย์สินระหว่างสามีภริยา และการห้ามมิให้สามีหรือภริยายึดหรืออายัดทรัพย์สินของอีกฝ่ายหนึ่งฟ้องร้องอีกฝ่ายหนึ่ง ตามมาตรา ๑๔๘๗
ก็ไม่ใช่ห้ามมิให้ฝ่ายหนึ่งฟ้องร้องอีกฝ่ายหนึ่งให้แบ่งทรัพย์สินที่เป็นกรรมสิทธิ์รวมที่มีอยู่ก่อนสมรส เมื่อโจทก์
มีหนังสือขอแบ่งที่ดินดังกล่าวไปยังจำเลยแล้วจำเลยไม่แบ่งให้ โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องจำเลยให้แบ่งที่ดินได้
ตามมาตรา ๑๓๖๓


๑๐. คำพิพากษาฎีกาที่ ๒๙๑/๒๕๔๑ ส. กับจำเลยที่ ๒ จดทะเบียนหย่ากันและได้ทำบันทึกข้อตกลงยกที่ดินและบ้านพิพาทให้จำเลยที่ ๑ กับพวกซึ่งเป็นบุตรและยังเป็นผู้เยาว์ สัญญาดังกล่าวเป็นสัญญาแบ่งทรัพย์ระหว่างสามีภริยาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๕๓๒ และเป็นสัญญาเพื่อประโยชน์ของจำเลยที่ ๑ กับพวกซึ่งเป็นบุคคลภายนอกตามมาตรา ๓๗๔ สิทธิของจำเลยที่ ๑ กับพวกจะเกิดขึ้นเมื่อได้แสดงเจตนาว่าจะถือเอาประโยชน์จากสัญญานั้น ตามมาตรา ๓๗๔ วรรคสอง เมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ ๑
กับพวกได้แสดงเจตนาถือเอาประโยชน์จากสัญญาดังกล่าว จำเลยที่ ๑
กับพวกจึงยังไม่มีสิทธิในที่ดินและบ้านพิพาท ส. ซึ่งเป็นผู้มีชื่อเป็นเจ้าของย่อมสามารถโอนที่ดินและบ้านพิพาทให้แก่บุคคลอื่นได้


๑๑. คำพิพากษาฎีกาที่ ๓๕๔๔/๒๕๔๒ แม้การที่ ร. ให้ที่ดินพิพาทซึ่งเป็นสินสมรสโดยเสน่หาแก่
จำเลยโดยมิได้รับความยินยอมเป็นหนังสือของโจทก์ ซึ่งเป็นคู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๔๗๖
() และ ๑๔๗๕ เมื่อมิได้รับความยินยอมเป็นหนังสือของโจทก์ และโจทก์มีสิทธิฟ้องขอให้เพิกถอนการให้ดังกล่าวภายในกำหนดเวลา ๑ ปี นับแต่วันที่ได้รู้เรื่องที่ ร. จดทะเบียนการให้ที่ดินแก่จำเลยที่ ๒ หรือภายใน ๑๐ ปี นับแต่วันจดทะเบียนการให้ตาม มาตรา ๑๔๘๐ ได้ก็ตาม แต่เมื่อโจทก์มิได้ฟ้องขอให้เพิกถอนการให้ ดังนี้ ที่ดินพิพาทจึงยังเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลย และจำเลยมิได้ครอบครองที่ดินพิพาทในฐานะทายาทของ ร. ที่จะต้องมีหน้าที่แบ่งสินสมรสให้โจทก์แทน ร.
แต่จำเลยครอบครองในฐานะเป็นเจ้าของ
กรรมสิทธิ์เนื่องจากได้รับยกให้จาก ร
. จำเลยจึงไม่มีหน้าที่แบ่งสินสมรสดังกล่าวของ ร.
ให้โจทก์การทำพินัยกรรม มิใช่เป็นการจัดการสินสมรสที่จะต้องได้รับความยินยอมคู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๔๗๖ วรรคหนึ่งแม้ ร. มีสิทธิทำพินัยกรรมยกบ้านพิพาทที่เป็นสินสมรสระหว่าง ร. กับโจทก์ส่วนที่ ร. มีกรรมสิทธิ์อยู่ครึ่งหนึ่งให้แก่จำเลยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๔๗๖ วรรคสอง ได้ก็ตาม แต่ ร. ก็ไม่
มีสิทธิทำพินัยกรรมยกกรรมสิทธิ์ในบ้านส่วนของโจทก์อีกครึ่งหนึ่งให้แก่จำเลยได้ การที่ ร
.
ทำพินัยกรรมยกบ้าน
สินสมรสทั้งหลังให้แก่จำเลยจึงไม่มีผลผูกพัน ส่วนที่เป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ โจทก์ในฐานะเป็นเจ้าของมีสิทธิฟ้องติดตามเอาคืนทรัพย์ส่วนที่เป็นกรรมสิทธิ์ของตนได้โดยไม่มีกำหนดเวลาการใช้สิทธิ เว้นแต่จะถูกจำกัดด้วยอายุความได้สิทธิ โดยโจทก์ไม่ต้องฟ้องร้องขอให้เพิกถอนพินัยกรรมของ ร
.
ก่อน


๑๒. คำพิพากษาฎีกาที่ ๔๔๗๗/๒๕๔๒ การพิจารณาว่าทรัพย์สินที่ได้มาในระหว่างสามีภริยาเป็นประเภทใด ต้องพิจารณาตามบทกฎหมายที่ใช้ในขณะที่ได้มา
จำเลยได้รับที่ดินพิพาทโดยทางพินัยกรรมในระหว่างสมรสและไม่มีการระบุว่าให้เป็นสิน
สมรสหรือสินส่วนตัวเมื่อปี พ..๒๕๐๙ ในขณะที่ใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ ๕ เดิม ที่ดินพิพาทจึงเป็นสินสมรสระหว่างโจทก์กับจำเลยตามบรรพ ๕ เดิม มาตรา ๑๔๖๖ วรรคหนึ่ง แม้ต่อมาจะได้มีการแบ่งแยกที่ดินและออกโฉนดใหม่เมื่อประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ ๕ ที่ตรวจชำระใหม่ พ..๒๕๑๙
ใช้บังคับแล้ว ก็เป็นเรื่องการแบ่งทรัพย์สินในระหว่างผู้ถือกรรมสิทธิ์รวม ไม่ทำ
ให้ที่ดินพิพาทหลังจากแบ่งแยกโฉนดแล้วเปลี่ยนเป็นสินส่วนตัวตามมาตรา ๑๔๗๑ ()


๑๓. คำพิพากษาฎีกาที่ ๗๙๖๑/๒๕๔๔ ป.พ.พ.มาตรา ๑๕๓๔ ที่บัญญัติว่า ”สินสมรสที่คู่สมรสฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจำหน่ายไป…..ให้ถือเสมือนว่าทรัพย์สินนั้นยังคงมีอยู่เพื่อจัดแบ่งสินสมรสตามมาตรา ๑๕๓๓ …..” นั้น เป็นการแบ่งสินสมรสที่ฝ่ายหนึ่งจำหน่ายจ่ายโอนไปหรือทำให้สูญหายไปโดยมิชอบ ในกรณีที่หย่ากันให้แบ่งทรัพย์สินดังกล่าวให้แก่ชายและหญิงได้ส่วนเท่ากัน แต่คดีนี้โจทก์ฟ้องขอแบ่งทรัพย์สินในฐานะเจ้าของรวม จึงไม่อยู่ภายใต้บังคับบทบัญญัติมาตรา ๑๕๓๔ ดังกล่าว โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินกึ่งหนึ่ง เมื่อจำเลยขายที่ดินไปได้เงินเท่าใด โจทก์ก็ควรได้รับเงินกึ่งหนึ่งของจำนวนเงินที่จำเลยขายไป มิใช่กึ่งหนึ่ง
ของราคาที่ดินปัจจุบัน การกำหนดมูลค่าที่ดินที่จำเลยจำหน่ายจ่ายโอนไปก่อนฟ้องเพื่อเป็นฐานในการคิดคำนวณค่าเสียหายที่จำเลยจะต้องชดใช้ให้แก่โจทก์จึงต้องคิดจากราคา ณ วันที่จำเลยจำหน่ายจ่ายโอน


๑๔. คำพิพากษาฎีกาที่ ๔๖๕๐/๒๕๔๕ โจทก์และจำเลยได้ร่วมกันดำเนินกิจการร้านเสริมสวยตั้งแต่ก่อนจดทะเบียนสมรสกัน กิจการร้านเสริมสวยดังกล่าวจึงเป็นทรัพย์สินที่โจทก์และจำเลยมีอยู่แล้วก่อนสมรส จึงเป็นสินส่วนตัวของโจทก์และจำเลยตาม ป.พ.พ. มาตรา ๑๔๗๑ (๑) โจทก์ลงทุนในกิจการดังกล่าว ๒๐๐,๐๐๐ บาท ส่วนจำเลยลงทุน ๑๐๐,๐๐๐ บาท กิจการร้านเสริมสวยจึงเป็นสินส่วนตัวของโจทก์และจำเลยตามสัดส่วนของเงินลงทุน คือ ๒ ต่อ ๑
ที่ดินและห้องชุดทั้งสี่ห้องจำเลยได้รับโอนมาภายหลังจากโจทก์จำเลยจดทะเบียนสมรสกัน
แล้ว ส่วนเงินดาวน์ของที่ดินและของห้องชุดที่จำเลยนำไปชำระนั้น จำเลยถอนเงินจากบัญชีเงินฝากธนาคารซึ่งเป็นเงิน
สินส่วนตัวของจำเลย แต่เงินในบัญชีดังกล่าวมีเงินรายได้จากกิจการร้านเสริมสวยรวมอยู่ด้วย ซึ่งเงินรายได้
ดังกล่าวเป็นสินสมรสระหว่างโจทก์จำเลย และไม่อาจแยกได้ว่าส่วนไหนเป็นเงินสินส่วนตัวของจำเลย ส่วนไหนเป็นเงินสินสมรสได้ เมื่อเป็นเช่นนี้จึงไม่อาจฟังได้ว่า มีเงินสินส่วนตัวของจำเลยเข้ามาปะปนอยู่กับเงินดาวน์ของที่ดินและของห้องชุดทั้งสี่จำนวนเท่าใด กรณีจึงต้องถือตามข้อสันนิษฐาน ตาม ป.พ.พ. มาตรา ๑๔๗๑ วรรคท้าย ว่า เงินดาวน์ดังกล่าวเป็นสินสมรสด้วย ที่ดินและห้องชุดทั้งสี่ห้องจึงเป็นสินสมรสเต็มจำนวนที่ต้องแบ่งให้โจทก์จำเลยคนละครึ่ง..........

ข้อควรระวังในการจดทะเบียน ลงชื่อคู่สมรส” “แบ่งทรัพย์สินระหว่างคู่สมรส

() การจดทะเบียนประเภทลงชื่อคู่สมรสเป็นการจดทะเบียนลงชื่อสามีภรรยาในหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินอันเป็นสินสมรสซึ่งมีชื่อสามีหรือภรรยาเป็นเจ้าของอยู่แต่เพียงฝ่ายเดียว เพื่อให้สามีและภรรยามีชื่อเป็นเจ้าของร่วมกันตามนัยมาตรา ๑๔๗๕ แห่ง ป... ซึ่งมีหลักเกณฑ์ที่สำคัญคือ ที่ดินนั้นต้องเป็นสินสมรส และคู่กรณีต้องเป็นคู่สมรสที่ชอบด้วยกฎหมาย สำหรับการจดทะเบียนแบ่งทรัพย์สินระหว่างคู่สมรส ที่ดินที่จะจดทะเบียนต้องเป็นสินสมรสและคู่กรณีต้องเป็นคู่สมรสที่ชอบด้วยกฎหมายเช่นกัน แต่ต่างกันตรงที่ว่าการจดทะเบียนประเภทแบ่งทรัพย์สินระหว่างคู่สมรสเป็นการจดทะเบียนไปตามข้อตกลงในการแบ่งทรัพย์สินระหว่างคู่สมรสหลังจากที่ได้หย่าขาดจากกันแล้ว กล่าวคือ ในขณะเมื่อยังเป็นสามีภรรยากันอยู่ สินสมรสย่อมเป็นสิทธิของสามีภรรยาร่วมกันในทุกสิ่งทุกอย่าง ซึ่งถ้าสินสมรสนั้นเป็น ที่ดินมีหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินและมีชื่อคู่สมรสฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นเจ้าของแต่ฝ่ายเดียว หากคู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่งจะขอจดทะเบียนเพื่อให้มีชื่อเป็นเจ้าของร่วมกันก็จดทะเบียนในประเภทลงชื่อคู่สมรส ต่อเมื่อได้หย่าขาดจากกันไม่ว่าจะเป็นการหย่าโดยความยินยอมหรือไม่ก็ตามมาตรา ๑๕๓๒ แห่ง ป... บัญญัติให้มีการจัดการแบ่งทรัพย์สินของสามีภรรยา ซึ่งในการจัดการแบ่งทรัพย์สินระหว่างสามีภรรยานี้ตามมาตรา ๑๕๓๓ บัญญัติว่า เมื่อหย่ากันให้แบ่งสินสมรสให้ชายและหญิงได้ส่วนเท่ากันสามีภรรยาจะจัดการแบ่งกันอย่างไร ทรัพย์สินใดเป็นของฝ่ายใดก็สุดแล้วแต่สามีภรรยาจะตกลงกัน ไม่จำเป็นที่จะต้องเอาทรัพย์สินแต่ละอย่างมาแบ่งกันคนละครึ่ง แต่เมื่อแบ่งกันแล้วทรัพย์สินที่แต่ละฝ่ายได้ไปทั้งหมดรวมกันแล้วต้อง
มีมูลค่าเท่ากัน เช่น โฉนดที่ดินมีชื่อสามีเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ ต่อมาเมื่อหย่าร้างกันคู่สมรสอาจตกลงกันให้ที่ดินแปลงนี้ตกเป็นของภรรยาคนเดียวก็ได้ หรือสามีภรรยาอาจจะตกลงแบ่งโดยให้สินสมรสชิ้นใดชิ้นหนึ่งเป็นของ
ทั้งสองคนถือกรรมสิทธิ์รวมกันไปก็ได้ ซึ่งไม่ว่าคู่กรณีจะตกลงแบ่งกันอย่างไรก็ต้อง จดทะเบียนในประเภทแบ่งทรัพย์สินระหว่างคู่สมรส โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าหากกรณีเป็นเรื่องที่ตกลงกันให้ถือกรรมสิทธิ์ร่วมกันต่อไปตามตัวอย่างข้างต้น ในการจดทะเบียนพนักงานเจ้าหน้าที่ก็จะต้องจดทะเบียนลงชื่อภรรยาให้ปรากฏในโฉนดที่ดินทำนองเดียวกันกับการจดทะเบียนลงชื่อคู่สมรส แต่ต้องจดทะเบียนในประเภท
แบ่งทรัพย์สินระหว่างคู่สมรส

มิใช่จดทะเบียนในประเภทลงชื่อคู่สมรส


() กรณีที่โฉนดที่ดินมีชื่อสามีแต่เพียงผู้เดียว ต่อมาเมื่อหย่ากันได้ตกลงแบ่งทรัพย์สินให้ที่ดินแปลงนี้เป็นของภรรยาฝ่ายเดียว ซึ่งที่ถูกพนักงานเจ้าหน้าที่ต้องจดทะเบียนให้ในประเภทแบ่งทรัพย์สินระหว่างคู่สมรส และเรียกเก็บค่าธรรมเนียมไม่มีทุนทรัพย์แปลงละ ๕๐ บาท แต่พนักงานเจ้าหน้าที่บางคนได้
จดทะเบียนให้ในประเภท
ให้และเรียกเก็บค่าธรรมเนียมมีทุนทรัพย์ในอัตราร้อยละ ๒ ซึ่งไม่ถูกต้อง


ค่าธรรมเนียม


การจดทะเบียนแบ่งทรัพย์สินระหว่างคู่สมรส เป็นการจดทะเบียนประเภทไม่มีทุนทรัพย์ เรียกเก็บค่า
ธรรมเนียมแปลงละ ๕๐ บาท ตามกฎกระทรวง ฉบับที่ ๔๗
(..๒๕๔๑) ออกตามความในพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.. ๒๔๙๗ ข้อ ๒ ()() ทั้งนี้ไม่ว่าที่ดินแปลงที่จดทะเบียนคู่กรณีจะได้ตกลงให้แก่กันเกินครึ่งแปลงนั้น ๆ หรือไม่ เช่น โฉนดที่ดินที่มีชื่อสามีเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์คู่กรณีได้จดทะเบียนแบ่งทรัพย์สินระหว่างคู่สมรสให้แก่ภริยาไปทั้งแปลงเช่นนี้ ต้องเรียกเก็บค่าธรรมเนียมแปลงละ ๕๐ บาท (หนังสือกรมที่ดิน ที่ มท ๐๗๐๘/๒๖๗๖๑ ลงวันที่ ๒๗ พฤศจิกายน ๒๕๒๓ ตอบข้อหารือจังหวัดชลบุรี เวียนโดยหนังสือกรมที่ดิน ที่ มท ๐๗๐๘/ ๒๗๐๐๖ ลงวันที่ ๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๒๗)



ภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย



การแบ่งสินสมรสที่เป็นอสังหาริมทรัพย์ซึ่งมีราคาของแต่ละฝ่ายเท่ากันไม่ถือเป็นการ
ขาย ตามมาตรา ๓๙ แห่งประมวลรัษฎากร ไม่ต้องเสียภาษีเงินได้ แต่ถ้าในการแบ่งสินสมรสฝ่ายใดได้ไปเกินกว่าส่วนของตนตามกฎหมายต้องถือว่าฝ่ายที่ยอมให้ส่วนของตนเกินไปให้กับอีกฝ่ายหนึ่งนั้นเป็นผู้ให้ ซึ่งถือว่าเป็นการ ขายจึงมีหน้าที่ต้องเสียภาษีเงินได้โดยการหักภาษี ณ ที่จ่าย ซึ่งคำนวณจากราคาอสังหาริมทรัพย์ เฉพาะส่วนที่เกินไปนั้น (หนังสือกรมสรรพากร ที่ กค ๐๘๐๒/๒๒๒๙๗ ลงวันที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๒๕ ซึ่งกรมสรรพากรได้เวียนให้ทุกจังหวัดทราบ ตามหนังสือกรมสรรพากร ที่ กค ๐๘๐๒/๖๓๗ ลงวันที่ ๑๓ มกราคม ๒๕๒๖ , คำสั่งกรมที่ดิน ที่ มท ๐๗๐๘/๒๖๗๖๑ ลงวันที่ ๒๗ พฤศจิกายน ๒๕๒๗ ตอบข้อหารือจังหวัดชลบุรี เวียนโดยหนังสือกรมที่ดิน ที่ มท ๐๗๐๘/ว ๒๗๐๐๖ ลงวันที่ ๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๒๗)

อากรแสตมป์





การจดทะเบียนแบ่งทรัพย์สินระหว่างคู่สมรส ไม่มีกรณีที่จะต้องเสียอากรแสตมป์ตามประมวลรัษฎากร

ส่วนมาตรฐานการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม
สำนักมาตรฐานการทะเบียนที่ดิน
พฤษภาคม ๒๕๔๘
___________________





คำสั่งที่ ๖/๒๔๙๘
เรื่อง จดทะเบียนประเภทแบ่งทรัพย์สินระหว่างคู่สมรส

_________________

เนื่องจากการแบ่งทรัพย์สินระหว่างคู่สมรสซึ่งหย่าขาดจากกันเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์ในที่ดินมักจะเกิดขึ้นบ่อย ๆ และบางกรณีเป็นเรื่องซึ่งสามีภรรยาต่างได้ตกลงแบ่งที่ดิน หรือโอนที่ดินให้แก่กันแต่ละฝ่ายเกินปริมาณ
ที่จำกัดไว้ตามมาตรา ๓๔ แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน ซึ่งในกรณีเช่นนี้ไม่ถือว่าเป็นการได้มาซึ่งที่ดินใหม่ เพราะเป็นทรัพย์สินระหว่างสามีภรรยาซึ่งมีอยู่แต่เดิม จึงเห็นสมควรวางระเบียบในการจดทะเบียนดังต่อไปนี้ คือ
. เมื่อสามีภรรยาหย่าขาดจากกัน และประสงค์จะแบ่งทรัพย์สินระหว่างคู่สมรสเกี่ยวกับที่ดิน โดยขอให้เจ้าพนักงานที่ดินจดทะเบียนโอนที่ดินให้แก่กันและกันแล้ว ให้เจ้าพนักงานที่ดินเรียกหลักฐานการหย่าขาดจากสามีภรรยา เช่น คำพิพากษา หรือหนังสือสัญญาหย่าระหว่างกันมาตรวจสอบดูเสียก่อน ถ้าในกรณีที่จะต้องจดทะเบียนหย่า ให้เรียกหลักฐานการจดทะเบียนหย่ามาแสดงด้วย

. เมื่อเห็นว่ามีการหย่าขาดจากกันถูกต้องแล้ว ให้เจ้าพนักงานที่ดินรับจดทะเบียนให้ใน
ประเภท แบ่งทรัพย์สินระหว่างคู่สมรสโดยให้คู่สมรสยื่นคำขอต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ และแก้ทะเบียนตามตัวอย่างท้ายคำสั่งนี้. ในการแก้สารบัญรายชื่อ สารบัญที่ดิน ให้ใช้อักษรย่อว่า ..”
. ค่าธรรมเนียมให้เรียกเก็บตามกฎกระทรวง (ฉบับที่ ๑๐) ..๒๔๙๗ ลงวันที่ ๙ ธันวาคม ๒๔๙๗ ข้อ ๕ ()
อนึ่ง ในกรณีซึ่งในโฉนดที่ดินมีชื่อสามีภรรยาร่วมกัน แต่ไม่ประสงค์จะโอนส่วนของตนให้แก่กัน ต้องการจะแบ่งแยกออกจากกัน ให้อนุโลมดำเนินการอย่างจดทะเบียนประเภทแบ่งระหว่างเจ้าของเดิม ตลอดจนค่าธรรมเนียมให้เรียกเก็บเช่นเดียวกัน


กรมที่ดินสั่ง ณ วันที่ ๒๑ พฤษภาคม ๒๔๙๘(ลงชื่อ) . ไทยวัฒน์(นายศักดิ์ ไทยวัฒน์)
อธิบดีกรมที่ดิน









การจดทะเบียนสมรสกับชาวต่างชาติ

การจดทะเบียนสมรสกับชาวต่างชาติ

 

แต่งงาน

แต่งงาน


การจดทะเบียนสมรสกับชาวต่างชาติ


คุณสมบัติ


1. ชายและหญิงมีอายุ 17 ปี บริบูรณ์

2. ชายหรือหญิงไม่เป็นบุคคลวิกลจริต หรือเป็นบุคคลที่ศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถ

3. ชายหญิงไม่เป็นญาติสืบสายโลหิตโดยตรงขึ้นไปหรือลงมาหรือเป็นพี่น้องร่วมบิดามารดาหรือร่วมแต่บิดาหรือมาดารเดียวกัน

4. ผู้รับบุตรบุญธรรมจะทำการสมรสกับบุตรบุญธรรมไม่ได้

5. ชายหรือหญิงจะทำการสมรถในขณะที่ตนมีคู่สมรสอยู่ไม่ได้

6. หญิงที่สามีตายหรือการสมรสสิ้นสุดลงด้วยประการอื่น จะทำการสมรสใหม่ได้ต่อเมื่อการสิ้นสุดแห่งการสมรสได้ผ่านพ้นไปแล้วไม่น้อยกว่า 310 วันเว้นแต่คลอดบุตรแล้วในระหว่างนั้น หรือสมรสกับคู่สมรสเดิม หรือมีใบรับรองแพทย์ประกาศนียบัตรหรือปริญญา ซึ่งเป็นผู้ประกอบการรักษาโรคในสาขาเวชกรรมได้ตามกฎหมายว่ามิได้มีครรภ์ หรือมีคำสั่งศาลให้สมรสได้



หลักฐานหรือเอกสารที่เกี่ยวข้อง


1. บัตรประจำตัวประชาชนหรือหนังสือเดิมทาง

2. หนังสือให้ความยินยอม (กรณีผู้ร้องขอยังไม่บรรลุนิติภาวะและผู้มีอำนาจให้ความยินยอมไม่ได้มาด้วย)

3. คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลที่ให้จดทะเบียน

4. พยานอย่างน้อย 2 คน


จดทะเบียนภายใต้กฎหมายต่างชาติ
ขั้นตอน ดังนี้...


ให้คนไทยติดต่อสถานทูตนั้นในไทย สอบถามว่าจะต้องใช้เอกสารอะไรบ้าง ส่วนใหญ่จะใช้ใบรับรองความเป็นโสด

นำเอกสารดังกล่าวไปแปลเป็นภาษาอังกฤษ

นำมารับรองที่กองสัญชาติและนิติกร โดยนำเอกสารต้นฉบับ (ภาษาต่างประเทศ) และฉบับที่แปลแล้ว (ภาษาไทย)

สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน

นำเอกสารไปรับรองที่สถานทูตชาติ ที่ตั้งอยู่ในประเทศไทย นำไปใช้ยังต่างประเทศได้
หมายเหตุ



ำเอกสารไปรับรองที่สถานทูตชาติ กรณีไม่สามารถดำเนินการได้สามารถทำการมอบอำนาจ

ถ้ามอบอำนาจมา ต้องนำหนังสือมอบอำนาจ และ สำเนาบัตรปชช ของผู้มอบด้วย

สตรีไทยผู้ถือหนังสือเดินทางในชื่อสกุลเดิม เมื่อทำการสมรสตามกฎหมายต่างประเทศสามารถร้องขอให้สอท./สกญ.บันทึกการใช้นามสกุลสามีลงในหนังสือเดินทาง (ปัจจุบันต้องทำหนังสือเดินทางเล่มใหม่) แต่ต้องแก้ไขข้อมูลในบัตรประจำตัวประชาชนและทะเบียนบ้านให้ถูกต้อง ในโอกาสแรกที่เดินทางกลับประเทศไทย หากมิได้ดำเนินการแก้ไข และมาขอหนังสือเดินทางฉบับใหม่ กระทรวงการต่างประเทศจะออกหนังสือเดินทาง โดยใช้คำนำหน้านามและนามสกุลตามข้อมูลที่ปรากฏ ตามหลักฐานทะเบียนราษฎรเท่านั้น



จดทะเบียนภายใต้กฎหมายไทย

ขั้นตอน ดังนี้ ...


ให้คนต่างชาติ ไปขอใบรับรองความเป็นโสด ที่สถานทูตชาติของตนในไทย บางสถานทูตไม่มีสิทธิ์ออกให้ ต้องติดต่อสำนักงานเขตในประเทศของตน

นำเอกสารดังกล่าวไปแปลเป็นภาษาไทย

นำมารับรองที่กองสัญชาติและนิติกร โดยนำเอกสารต้นฉบับ (ภาษาต่างประเทศ) และฉบับที่แปลแล้ว(ภาษาไทย)

หนังสือเดินทางของชาวต่างชาติ

นำไปจดทะเบียนที่อำเภอหรือเขต


เอกสารประกอบการยื่นสำหรับคนต่างชาติ



หนังสือเดินทาง หรือหนังสือการอนุญาตให้เข้าเขตแดนของประเทศใดประเทศหนึ่ง (Visa)

ประเภทเพื่อการท่องเที่ยวหรือประกอบกิจการด้านธุรกิจ

หนังสือรับรองสถานภาพของบุคคลจากสถานทูต หรือสถานกงสุลโดยระบุเกี่ยวกับคุณสมบัติของบุคคลนั้นที่เหมาะสมที่จะสมรส กับคนไทย ระบุอาชีพ, รายได้, ภาวะทางการสมรส และระบุชื่อบุคคลทางราชการ ที่สามารถติดต่อและขอทราบข้อเท็จจริงเพิ่มเติมได้ จำนวน 2 คน ซึ่งมีที่อยู่เดียวกับผู้ร้อง โดยนำหนังสือรับรองดังกล่าว แปลเป็นภาษาไทย รับรองคำแปลโดยสถานทูตของประเทศของบุคคลนั้น หรือกระทรวงการต่างประเทศไทย

 
 
 
 
 
 
 
 
.

กฏหมายแต่งงาน , กฎหมายสมรส

          กฏหมายแต่งงาน , กฎหมายสมรส





เงินทองเป็นของนอกกาย แต่ก็น้อยคนนักที่จะหักใจ ไม่ว่าจะเป็นพี่น้อง หรือ พ่อแม่ลูกก็ตาม เงินก็ทำให้ความรักของ คนเหล่านั้นหดหายไปได้
หลายคู่ที่แต่งงานโดยไม่ได้คำนึงถึงเธอรวย หรือ ฉันจน หรือใครจะคุมกองคลังของครอบครัว แต่เมื่อความรักล่มสลาย
ทั้งสองฝ่ายต่างต้องประหลาดใจที่กฎหมายระบุต่างจากที่น่าจะเป็น หลายรายเป็นฝ่ายเข้ามาควบคุมกำกับดูแลการใช้จ่าย
ในครอบครัว แต่เอาเข้าจริงกลับต้องสูญเสียสิ่งที่คิดว่าเป็นสิทธิของตัวเอง เพราะกฎหมายกับความเข้มใจนั้นเป็นคนละ
เรื่องเดียวกัน


เมื่อแต่งงานกันแล้ว ทรัพย์สินจะถูกจัดสรรเป็นส่วน คือ

1. ส่วนที่เป็นสินสมรส (คือ เป็นเจ้าของทรัพย์สินร่วมกัน มีส่วนแบ่งกันคนละครึ่ง) กับ
2. ส่วนที่เป็นสินส่วนตัว (คือ เป็นทรัพย์สินของใครของมัน ไม่กระเด็นไปยังภรรยาหรือสามี)
แต่อาจจะสับสนบ้างว่า อย่างไหนที่จะส่วนตัว อย่างไหนที่จะร่วมกันเป็นเจ้าของตามกฤหมาย

“สินสมรส” คือ ทรัพย์สินที่ได้มาในระหว่างสมรส และบรรดาที่เป็นสินส่วนตัวด้วย ส่วนสินส่วนตัวนั้น ได้แก่ ทรัพย์สินที่มีอยู่
แล้วก่อนสมรส หรือบรรดาที่เป็นเครื่องใช้ส่วนตัวทั้งหลาย จนถึงเครื่องประดับตามฐานะ รวมทั้งเครื่องมือเครื่องใช้ที่จำเป็น
ในการประกอบอาชีพ แต่หลายคนก็ไม่รู้ว่านอกจากนั้นแล้ว กฎหมายยังขยายความถึงทรัพย์สินที่ได้มาระหว่างสมรสที่มีคนยกให้
หรือได้มรดกมาด้วย แต่ถ้ายกให้หรือเป็นมรดกตามพินัยกรรมที่ระบุว่าให้เป็นสินสมรส ก็ต้องเป็นสินสมรส

เรามักได้ยินข่าวที่พ่อแม่ไม่อยากยกที่ดินให้ลูกสาวที่แต่งงานแล้ว เพราะกลัวจะกลายเป็นสินสมรส แท้จริงแล้ว การยกให้ใน
ระหว่างสมรส ไม่ได้ทำให้ทรัพย์สินนั้นกลายเป็นสินสมรส เว้นเสียแต่ระบุในหนังสือยกให้ว่าเป็นสินสมรส ยิ่งถ้าเป็นมรดกก็แน่นอน
ที่จะเป็นสินส่วนตัว คู่สมรสจะได้ส่วนแบ่งในสินส่วนตัวต่อเมื่อเราจากโลกนี้ไปแล้ว สินส่วนตัวจึงกลายเป็นมรดก

เวลาจะแต่งงานก็ไม่ค่อยคิดเรื่องนี้ จะมานึกออกก็ตอนต้องแบ่งสมบัติ ซึ่งมักจะแบ่งตอนที่ฝ่ายหนึ่งอยากหย่ากับอีกฝ่ายหนึ่ง
โดยเฉพาะบ้านที่ใช้เป็นเรือนหอของเขาและเธอที่เคยสร้างด้วยเงินส่วนตัวของฝ่ายหนึ่ง หรือจากการที่พ่อแม่ของฝ่ายหนึ่งยกให้
เป็นของขวัญแต่งงาน

แบบนี้ไม่เหมือนการให้ของขวัญในวันฉลองแต่งงานที่ถือซอง ถือของกันมาเอิกเกริก อย่างนั้นเป็นการให้ที่ชัดเจน ให้แก่คู่บ่าวสาว
ทั้งสองเนื่องในโอกาสแต่งงาน เป็นสินสมรสแน่นอน แต่ถ้าให้ที่ดิน บ้าน จะให้แน่ต้องสืบตามที่กฎหมายว่าไว้ก็คือ การให้จะมี
ผลสมบูรณ์ต่อเมื่อได้จดทะเบียนการให้ที่สำนักงานที่ดิน และในการให้ที่จะเป็นสินสมรสนั้น กฎหมายก็เขียนไว้ชัดแจ้งว่า การให้
เป็นหนังสือยกให้ต้องระบุว่าเป็นสินสมรส ซึ่งจะเป็นสินสมรส ดังนั้น ถ้าจะให้ใครคนนึงหรือจะให้ทั้งสอง ก็ควรระบุให้ชัดเจน

ยกตัวอย่าง เช่น เสกสรรมีเงินฝากในธนาคารก่อนแต่งงาน เป็นเลข 6 หลัก เขาไม่คิดจะปกปิดภรรยาเพราะทราบดีว่า ถึงรู้ไป
ก็ไม่น่าเดือดร้อน เพราะเขามีบัญชีร่วมระหว่างเขากับภรรยาแล้ว ส่วนบัญชีเดิมเป็นสินส่วนตัวของเขา แต่หลังจากที่เขากับเธอ
มีปัญหาจนถึงขั้นแยกทางกัน เงินในบัญชีส่วนตัวของเขาก็ถูกนำมาเป็นเงื่อนไขในการแบ่งสมบัติ และนำไปสู่การฟ้องศาล

ตามกฎหมาย แม้เงินฝากที่ธนาคารในบัญชีของเสกสรร จะเป็นเงินส่วนตัวที่มีก่อนสมรส แต่ในการฝากเงินย่อมต้องมีดอกผล
งอกเงย ภรรยาของเสกสรรไม่ลืมข้อนี้ เธอจึงอ้างเอาดอกเบี้ยเงินฝากของบัญชีดังกล่าว ซึ่งถือเป็นสินสมรสมาขอแบ่งด้วย
เมื่ออยู่ด้วยกันกว่า 6 ปี จึงมีเงินฝากหลายล้าน งานนี้อดีตคุณผู้หญิงของเสกสรรมีส่วนแบ่งจากดอกเบี้ยไม่น้อยทีเดียว

ชื่อที่ปรากฏในเอกสารแสดงความเป็นเจ้าของ ก็ไม่ได้หมายความว่า จะทำให้สินสมรสกลายเป็นสินส่วนตัว เพราะกฎหมาย
กล่าวว่า ถ้ากรณีที่สงสัยให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นสินสมรส ฝ่ายที่เถียงว่าไม่ใช่ ต้องมีภาระหน้านที่พิสูจน์ให้ได้ ถ้าเสกสรรเห็นว่า
ตัวเองทำงานงกเงิ่นอยู่คนเดียว จึงสมควรควบคุมดูแลด้านการเงินทุกอย่างอยู่ในชื่อตัวเขาเอง เงินทองทรัพย์สินเหล่านนั้นก็ยัง
เป็นสินสมรสอยู่ดี แม้จะไม่มีชื่อภรรยาปรากฏอยู่ก็ตาม

ไม่ว่าจะมีชื่อใครอย่างไร แต่เมื่อเป็นสินสมรสแล้ว กฎหมายให้อำนาจทั้งสองฝ่าย ในการจัดการทรัพย์สินนั้นได้โดยอิสระ
ไม่ต้องมาขออนุมัติก่อน เว้นแต่เสียบางเรื่องที่อาจจะกระทบกระเทือนถึงความมั่นคงทางการเงินของครอบครัว กฎหมายก็จะ
บังคับให้ต้องได้รับความยินยอมจากอีกฝ่ายหนึ่ง

อีกตัวอย่างหนึ่ง ก็คือ พิเชษฐ์ทำงานเป็นนิติกร อยู่ฝ่ายเร่งรัดหนี้สินในบริษัทแห่งหนึ่ง เขาได้อาศัยโอกาสเกี่ยวข้องเรื่องที่ดิน
นำมาซื้อขายอยู่เนืองๆ แต่ภรรยาของเขาไม่รู้เรื่องนี้เท่าใดนัก รู้เพียงว่า พิเชษฐ์มีที่ดินอยู่ในเมืองหลายแปลง ปล่อยขายได้บ้าง
ไม่ได้บ้าง แต่เธอก็สงสัยว่า ทำไมไม่มีการมาขออนุญาตตามกฎหมายจากเธอ

ในทางปฎิบัติ เจ้าพนักงานที่ดินไม่มีวันรู้ว่า พิเชษฐ์แต่งงานหรือไม่ เพราะไม่ได้เปลี่ยนคำนำหน้าชื่อ ดังนั้น ในการขายที่ดิน
เขาจึงลอยตัวโดยแสดงต่อเจ้าพนักงานว่าตนเป็นชายโสด เว้นเสียแต่จะมีหลักฐานปรากฏให้เห็น เช่น สำเนาทะเบียนบ้าน
ที่อยู่หลังเดียวกับลูกๆ และระบุชื่อแม่ของลูกไว้ (การแจ้งเท็จมีความผิดทางอาญา) ซึ่งถ้าถือตามกฎหมายแล้ว การขายที่ดิน
ที่เป็นสินสมรส (เพราะได้มาในระหว่างแต่งงาน) จะต้องได้รับความยินยอมจากภรรยาเขา

แต่ในการซื้อนั้น กฎหมายไม่ได้บังคับไว้ คงเป็นเพราะการซื้อของเข้าบ้าน น่าจะเป็นการทำให้หลักทรัพย์ของครอบครัวมากขึ้น
ไม่กระทบถึงความมั่นคงทางการเงินของครอบครัว จึงไม่ต้องขอความยินยอม

หรือกรณีที่สามีมีภรรยาหลายบ้าน และถูกเจ้าหน้าที่สำนักงานที่ดินขอให้จัดการให้สามีเซ็นยินยอมในการซื้อที่ดิน ถ้าหย่าก็ต้อง
เอาใบหย่ามา ถ้าเป็นหม้ายก็เอามรณบัตรมา ซึ่งตามกฎหมายแล้ว การซื้อที่ดินไม่ต้องขอความยินยอมจากคู่สมรส
โดยอาจเป็นระเบียบภายในที่ทำกันไว้ในยุคที่ใช้กฎหมายเก่า ซึ่งกำหนดให้ภรรยาไม่มีความสามารถทำนิติกรรมถ้าสามีไม่อนุญาต

แล้วถ้างุบงิบซื้อที่ดินให้มือที่สาม หรือมีการโยกบัญชีซุกหุ้นที่ซื้อมาให้สาวอื่นที่ไม่ใช่ภรรยาแล้ว บรรดาภรรยาหลวงมีสิทธิ
ตามกฎหมายที่จะตามล้างตามล่ากันได้


________________________________________

สัญญาก่อนสมรส

________________________________________ กว่าจะแต่งงานเป็นฝั่งเป็นฝากับเขาสักที อาจไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับหลายคน ก่อนตัดสินใจแต่งงานก็มีการสาบานว่า
จะรักกันวันตาย สัญญิงสัญญากันไว้ในเรื่องความรักความซื่อสัตย์จนจำไม่หวาดไม่ไหว ว่าได้สัญญาอะไรไปบ้าง
แต่มีอยู่อย่างที่เรื่มนิยมกัน ก็คือ การทำสัญญาเอาไว้ในเรื่องทั้งหลายของคู่บ่าวสาว รวมทั้งเรื่องของทรัพย์สินเงินทอง

ถ้าทำสัญญาระหว่างสมรสกันในเรื่องทรัพย์สินแล้ว อย่าได้เอาโล้เอาพายอะไรมากมาย หากทำไปเพราะมีการบอกล้างกันได้
ภรรยาทั้งหลายจึงใช้ทำเสียก่อนแต่งงานซึ่งก็เป็นการดี แต่ขอบอกอีกหน่อยว่า แม้จะทำอย่างนี้ก็คงมีขั้นตอนบางอย่าง

สัญญาก่อนสมรสต้องเป็นเรื่องเกี่ยวกับทรัพย์สินอีกนั่นเอง ข้อตกลงพวกนี้ไม่เพียงจะลงชื่อพร้อมพยานเท่านั้น จะต้องนำไป
จดแจ้งไว้เป็นหลักฐานในทะเบียนสมรสด้วย จะทำแบบไหนไม่ว่า เช่น ทำเป็นหนังสือสัญญาแล้วนำไปจดในทะเบียนสมรส
หรือให้เจ้าหน้าที่นายทะเบียนจดแจ้งให้ก็ได้ การจดแจ้งนี้ต้องทำพร้อมการจดทะเบียนสมรส แน่นอนว่าถ้าทำก่อนก็คงไม่มีใคร
เขาทำให้ แต่ถ้าทำหลังจากจดทะเบียนสมรสแล้ว สัญญานั้นก็จะกลายเป็นสัญญาระหว่างสมรสไป และถ้าไม่จดแจ้งแทงเอาไว้
กฎหมายก็ให้สัญญานั้นเป็นโฆษะ

ของพรรค์นี้อยู่ที่ศิลปะในการเจรจาว่า จะทำสัญญากันก่อนดีมัย และจะตกลงกันอย่างไรในเรื่องของทรัพย์สิน และต้องให้แน่ใจว่า
ใช่อย่างที่ต้องการ เพราะขืดทำไว้แล้ว อยู่ๆกันไปจะมาขอเปลี่ยนแปลงแก้ไข ใช่ว่าจะทำได้เลย ต่อให้ทั้งสองฝ่ายยินยอมเต็มใจ
อย่างไร กฎหมายก็ไม่ยอมให้แก้ไขกันง่ายๆ เดี๋ยวไม่ศักดิ์สิทธิ์ จะต้องมีขั้นตอนที่ต้องไปทำที่ศาล โดยยื่นคำร้องขอให้ศาลอนุญาต
เสียก่อน เมื่อศาลตรวจสอบพิจารณาโดยไตร่สวนสอบถามความนัยแล้ว จึงมีคำสั่ง จากนั้นก็นำคำสั่งไปแสดงต่อนายทะเบียน
เพื่อจดแจ้งไว้ในทะเบียนสมรส

เห็นหรือยังว่ามันขลังขนาดไหน มีผลผูกผันแน่นแฟ้นต่อกันขนาดที่พร้อมใจกันเปลี่ยนแปลงแก้ไข ยังต้องให้ศาลมาดูแลเสียก่อนเลย
แต่ถึงจะเข้มขนาดไหน กฎหมายก็ไม่ให้กระทบกระเทือนสิทธิของบุคคลภายนอกที่สุจริต แม้จะได้จดแจ้งไว้ในทะเบียน ซึ่งเก็บไว้
ที่หน่วยราชการ การจดไว้ในทะเบียนนั้น เพื่อประโยชน์ระหว่างคู่สามีภรรยาเท่านั้น คนนอกไม่ต้องเขามาผูกพันรับผิดชอบได้เสียด้วย

เช่น ทำสัญญาก่อนสมรสกันว่ากระเป๋าของใครของมัน ถ้าฉันหาเงินได้ให้เป็นสินส่วนตัวของฉัน ของเธอก็เช่นกัน ถ้ามีลูกกัน
ก็ให้เป็นภาระร่วมกันคนละครึ่ง พอแต่งงานแล้ว ต่างก็ขยันหาเงินเข้ากระเป๋าตัวเอง สามีนำเงินของตนไปซื้อที่ดินไว้แปลงหนึ่ง
ส่วนภรรยาหาเงินไม่พอใช้จ่ายในบ้านเรือน ทั้งยังค่าเล่าเรียนลูกที่สามีขี้เหนียวไม่ยอมลงขันจ่ายให้ เธอจึงไปขอยืมเงินคนอื่น
มาใช้จ่ายแล้วไม่มีใช้คืน เจ้าหนี้ก็เลยฟ้องร้องและยึดทรัพย์ที่ดินของสามีมาชำระหนี้ อย่างนี้สามีจะอ้างสัญญาก่อนสมรสว่า
ที่ดินแปลงนี้เป็นสินส่วนตัวไม่ได้ แต่เป็นสินสมรสตามกฎทั่วไป

หรือว่าทำสัญญาก่อนสมรสให้สามีเป็นผู้จัดการทรัพย์สินแต่เพียงฝ่ายเดียว ต่อมาภรรยาไปให้คนเช่าตึกแถว โดยทำสัญญากันไว้
สามีจะมาอ้างว่าสัญญาเช่าไม่มีผลผูกพัน เพราะภรรยาไม่มีอำนาจจัดการทรัพย์สินสมรสตามสัญญาก่อนสมรสไม่ได้

ไม่เป็นไร เมื่อไม่ให้กระทบคนภายนอก แต่กระทบคนภายใรที่เป็นคู่สมรสได้ก็ยินดีแล้ว ดังนั้นก่อนตัดสินใจแต่งงาน นอกจาก
เรื่องพิธีการและของชำรวยแล้ว ควรคำนึงเรื่องการบริหารจัดการเงินทองว่าจะตกลงกันเป็นพิเศษแตกต่างจากที่กฎหมายกำหนด
ไว้อย่างไร เมื่อทำสัญญาก่อนสมรสกันแล้ว อย่าลืมนำไปจดในทะเบียนสมรสด้วย

อย่างนี้เรือล่มในหนองทองก็ไม่ไปไหน แต่อย่าให้กลายเป็นไม่ได้แต่งงานกันเพราะความมุ่งมั่นที่จะทำสัญญาก่อนสมรส จนลืม
ความรักที่อุตส่าห์ถักทอจนสุกงอมพร้อมร่วมหอก็แล้วกัน


________________________________________
สมรสซ้อน
________________________________________
แต่งงานเป็นเรื่องมงคล หลายคนจึงแต่งงานหลายครั้ง แต่ก่อนที่จะแต่งงานครั้งต่อไป จะต้องเคลียร์การแต่งงานครั้งก่อนเสมอ
ไม่เช่นนั้นบ้านเก่าบ้านใหม่อาจให้โทษได้
สำหรับกฎหมายแล้ว การแต่งงาน หมายถึง การจดทะเบียนสมรส การแต่งงานในลักษณะอื่นไม่ได้รับการรับรองทางกฎหมาย
ให้เกิดสถานะสามีภรรยาต่อกัน ไม่ว่าจะเป็นการยกขันหมากแห่รอบหมู่บ้านหรือจัดงานพิธีใหญ่โต กฎหมายไม่ให้สิทธิเรียกร้อง
อย่างสามีภรรยาหากมีการแต่งงานกันซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่ถ้ามีการจดทะเบียนแล้วเป็นได้เรื่อง

คนเราอาจมีทะเบียนสมรสหลายใบกับใครหลายคนได้ แต่จะมีในเวลาเดียวกันไม่ได้ ไม่เช่นนั้นก็เข้าข่ายที่เรียกว่าจดทะเบียน
สมรสซ้อน ซึ่งกฎหมายไม่จัดอันดับเบอร์หนึ่งเบอร์สองให้ใครเป็นรองใคร แต่ใช้หลักมาก่อนมีสิทธิก่อน

และการมาก่อนนี้ต้องเป็นการมาถึงนายทะเบียนก่อน หากมาอยู่กินเสียก่อนแล้วมัวรอฤกษ์จดทะเบียนหรืออิดเอื้อนเล่นตัวก็อาจได้
เลิกรากัน ถ้าเขาหรือเธอไปแอบจดทะเบียนกับคนอื่น คนมาหลังแต่ถึงที่หมายก่อนก็ได้สิทธิไปเพระใบทะเบียนสมรสนั่นเอง

การจตทะเบียนซ้อนกฎหมายให้เป็นโฆษะไปเลย ไม่ต้องเสียเวลาไปฟ้องร้องให้ศาลสั่งว่าการสมรสรายหลังเป็นโฆษะ ก็คือ
การสมรสซ้อนเป็นอันเสียเปล่า ไม่มีผลทางกฎหมาย ส่วนที่ว่าจะรู้ไหมว่าซ้อนอย่างไรก็ไม่ต้องวิตกจริตเกินไป ทางการเขาให้ไป
ตรวจได้ที่สำนักงานทะเบียนราษฎรเพราะถือเป็นผู้มีส่วนได้เสีย

แม้การสมรสซ้อนจะเป็นโฆษะโดยผลของกฎหมาย แต่ตราบใดที่ยังไม่ได้จดแต้งแทงรายการไว้ในทะเบียน ก็จะไปใช้ยันต่อบุคคล
ภายนอกไม่ได้ ดังนั้น จึงต้องดำเนินการทางทะเบียนให้เรียบร้อย ไม่เช่นนั้นเกิดคู่โมฆะไปทำนิติกรรมหรือตัดการอะไรไปก็ไม่
สามารถอ้างความเป็นโมฆะไปทำนิติกรรมหรือจัดการอะไรไปก็ไม่สามารถอ้างความเป็นโมฆะยันกับคนนอกวงการได้

เรื่องทะเบียนซ้อนแบบนี้ไม่ใช่ผู้ชายจะนิยมเท่านั้น หญิงไทยก็ไม่น้อยหน้าเหมือนกัน ซึ่งบางครั้งก็น่าเห็นใจคู่ที่ไม่ได้รักกันแล้ว
ไม่อยู่ด้วยกันก็มี แต่ฝ่ายหนึ่งไม่ยอมจดทะเบียนหย่า เพราะหวงก้างไว้ไม่อยากให้ใครมาได้ตำแหน่ง ทั้งที่ตัวก็ไม่ได้อยากอยู่กับ
เขาหรือเธออีกต่อไป ทำให้อีกฝ่ายหนึ่งซึ่งอยากหย่า เพราะต้องการไปจดทะเบียนสมรสกับอีกคนหนึ่งเดือดร้อน รอไม่ไหว
จึงตัดสินใจจดซ้อนไปเลย

นอกจากความเป็นโมฆะแล้ว อาจมีเรื่องอื่นตามมาเป็นผลข้างเคียงแต่ยิ่งใหญ่ เมื่อเจ้าของทะเบียนใบแรกแจ้งให้ใบหลังทราบว่า
มีคู่สมรสรายเดียวกันแล้ว หากรายหลังยังทำเฉย อาจถูกเรียกค่าเสียหายจากการไปสัมพันธ์กับสามีหรือภรรยาของเขาได้ ส่วนผู้รัก
การสะสมทะเบียนสมรสในขณะเดียวกัน นอกจากจะมีเรื่องกับคู่สมรสทั้งสองแล้ว อาจได้คดีอาญามาประดับประวัติอีกด้วย เพราะ
ทะเบียนสมรสเป็นเอกสารทางราชการ การจดทะเบียนก็ทำกับนายทะเบียน การปิดบังความจริงหรือปดกับเจ้าหน้าที่ ทั้งๆที่รู้อยู่
แก่ใจว่าได้จดทะเบียนสมรสแล้ว ถือว่าให้ข้อความอันเป็นเท็จแก่พนักงานเจ้าหน้าที่

ทางแก้ของผู้ที่พลาดไปแล้ว ก็คือ เริ่มใหม่หมด มีหลายรายที่ใช้วิธีจดทะเบียนหย่ากับคนก่อนเพื่อให้มีทะเบียนสมรสใบเดียวกับ
คนหลัง อย่างนี้ไม่มีผล เพราะทะเบียนสมรสที่ซ้อนนั้นเป็นโมฆะแต่แรกแล้ว ดังนั้น เมื่อหย่ากับคนก่อนแล้วก็ต้องย้อนมาจดกับ
คนใหม่ จะใช้ทะเบียนเดิมไม่ได้ ถ้าจะให้ดีก็พากันไปที่สำนักงานเขตหรืออำเภอเสียเลย

การแต่งงานเป็นเรื่องของคนสองคน แต่ถ้าใครไปทำให้เป็นเรื่องของหลายคนแล้ว เรื่องง่ายๆ ก็กลายเป็นยากเพราะอยากมี
ทะเบียนสมรสนั่นเอง


________________________________________

แต่งกับฝรั่ง
________________________________________

ความรักไม่มีพรมแดนมานานก่อนยุคโลกไร้พรมแดนเสียอีก เมื่อศรรักปักอกปักใจว่าตะแต่งงานกับชายคนนี้เท่านั้น
แล้วเกิดเป็นฝรั่งตาน้ำข้าวหรือชาวอื่นที่ไม่ใช่ชาวไทย ก็เริ่มสับสนหัวใจว่าจะจดทะเบียนสมรสหรือไม่

แท้จริงแล้ว จะจดกับประเทศไหนก็มีผลตามกฎหมายทั้งนั้น ทั้งหญิงและชายที่ได้สามีหรือภรรยาเป็นชาวต่างชาติ คือ
ไม่มีสัญชาติไทยจะแต่งงานที่ประเทศไหนก็ได้ทั้งนั้น ถ้าจดตามประเทศของเขาหรือเธอ กฎหมายไทยก็รับรองสถานภาพ
ของคู่นี้ว่าเป็นสามีภรรยาตามกฎหมาย โดยไม่ต้องจดทะเบียนตามกฎหมายไทย แต่ถ้าอยากจะแต่งให้ครบก็ทำได้โดยการ
ไปจดทะเบียนที่สำนักงานเขตหรืออำเภอ หรือถ้าอยู่ต่างประเทศ ก็ไปที่สถานกงศุลไทยในประเทศนั้น ไม่ยุ่งยากอย่างที่กังวลเลย

ที่กล่าวว่าจดทะเบียนตามกฎหมายของประเทศอื่นแล้วจะจดที่ไทยบ้างนั้น ไม่ต้องไปทำเป็นทะเบียนสมรส เพียงแค่จดทะเบียน
ฐานะครอบครัวก็พอ นายทะเบียนก็จะบันทึกหลักฐานเอาไว้ และมอบเอกสารให้เก็บคนละฉบับ แต่ต้องแสดงหลักฐานต่อ
นายทะเบียนว่า ได้แต่งงานตามกฎหมายของประเทศไหนไปแล้ว

บางคู่นึกอยากกิ๊บเก๋ไปจดทะเบียนสมรสในประเทศอื่น เช่น ไทยกับอเมริกัน แต่งงานกันที่ออสเตเรีย อย่างนี้ก็ยังมีสถานะเป็น
สามีภรรยากันตามกฎหมายที่ประเทศไทยยอมรับ และที่ว่าจดทะเบียนก็อาจไม่ใช่เพราะกฎหมายประเทศนั้นมีแบบพิธีเป็นอย่างอื่น
ถ้าได้ทำตามแบบของเขาแล้ว ก็ถือเป็นใช้ได้

เมื่อได้แต่งงานเรียบร้อยโรงเรียนฝรั่งหรือไทยแล้ว ความสัมพันธ์ทางกฎหมายก็ให้เป็นไปตามกฎหมายแห่งสัญชาติของสามี
อย่างนี้หญิงไทยจะมีสามีเป็นชาวต่างชาติก็ต้องรู้กฎหมายในเรื่องนี้ไว้ด้วย โดยเฉพาะเรื่องทรัพย์สินเงินทองที่ต้องเป็นไปตามเขา
เว้นเสียแต่เป็นเรื่องของอสังหาริมทรัพย์ คือ บรรดาที่ดินทั้งหลายก็ให้ใช้กฎหมายที่ที่ดินตั้งอยู่นั้นมาบังคับ

อยู่กันไปก็ยุ่งยากนัก อยากจะเลิกหรือหย่าล้างขึ้นมา ก็ต้องไปว่ากันตามกฎหมายที่ไปจดไปแต่ง ซึ่งเมื่อทำแล้วกฎหมายไทยก็
ยอมรับสถานะว่าเป็นหม้ายแล้วเหมือนกัน แต่ถ้าจะหย่ากันก็ต้องได้ความว่า กฎหมายของประเทศทั้งสองฝ่ายยอมให้หย่ากันได้
ไม่เช่นนั้นจะลำบาก เป็นอันว่าเขาก็ต้องรู้กฎหมายไทยบ้างเหมือนกัน

นั่นเป็นเรื่องหย่าโดยความยินยอม
แต่ถ้าการหย่าชนิดที่มีเรื่องทะเลาะกันจนต้องฟ้องร้องศาล หากอยู่ที่เมืองไทยก็ฟ้องได้ไม่ว่ากัน เพียงแต่ต้องให้ได้ความว่า
กฎหมายแห่งสัญชาติของทั้งสามีและภรรยา ยอมให้หย่าได้ และให้ใช้เหตุหย่าตามกฎหมายไทย

การแต่งการหย่านี้ ต่อให้ฝรั่งต่างชาติแต่งงานกันโดยไม่ได้ผูกพันมีสัญชาติไทย ก็สามารถจดทะเบียนได้ แต่ต้องให้ได้ความว่า
กฎหมายของประเทศเหล่านั้นยอมให้แต่งได้ หรือว่าแต่งตามกฎหมายเขาแล้ว ทะเลาะเบาะแวงในเมืองไทย รอไปหย่าที่ไหน
ไม่ทันใจแล้วจะต้องฟ้องศาลไทยก็ทำได้เช่นกัน

กฎหมายออกมาแบบนี้ เป็นการประกันความมั่นคงของครอบครัวได้ ไม่ต้องกังวลว่าสามีภรรยาคู่ไหน ที่เข้ามาในประเทศไทยแล้ว
ไม่ได้แต่งงานตามกฎหมายไทยจะกลายเป็นคนไร้คู่ตามกฎหมาย และสาวไทยหรือหนุ่มไทยหน้าไหนที่มาแย่งสามีหรือภรรยา
ของเราไป ไม่ว่าชั่วคราวหรือถาวรก็จะมาอ้างกฎหมายไทยว่า ไม่มีทะเบียนสมรสไม่ได้ ถ้ารู้อยู่ว่าเขาหรือเธอนั้นมีคู่สมรส
เป็นตัวเป็นตนแล้ว

เมื่อได้คำพิพากษาว่าหย่าแล้ว ต้องนำไปจัดการตามแบบของกฎหมายที่ประเทศนั้นๆ บางคนไม่ได้จดทะเบียนสมรสตาม
กฎหมายไทย แต่อยากจดทะเบียนหย่าไว้เป็นหลักฐานก็สามารถทำได้ เพียงแต่ต้องจดทะเบียนฐานะครอบครัว แล้วค่อย
จดทะเบียนหย่า ก็จะได้ทะเบียนหย่ามาใส่กรอบไว้ที่หัวเตียงตามประสงค์

ความรักมักไม่เลือสัญชาติ แต่เรื่องของโอกาสและสิทธิทางกฎหมายนั้น เลือกกันได้ จะแต่งกับคนไทยหรือฝรั่งก็ระวัง
ข้อกฎหมายไว้เป็นดี


________________________________________

หย่าดีกว่า
________________________________________
ห้ามคนไม่ให้แต่งงานอาจเป็นเรื่องยาก แต่ห้ามคนอยากหย่าน่าจะลำบากว่าหลายเท่า จะด้วยเหตุผลกลใดหรือเพราะผู้ใดเป็นตนคิด
ชีวิตหลังหย่าจะไม่น่าอภิรมย์ ถ้าเอาแต่จะหย่าจะเลิกโดยไม่ใส่ใจกฎหมาย
“การหย่า” ใช้ในการสมรสที่จดทะเบียนเท่านั้น เมื่อตอนเข้าสู่ชีวิตคู่ก็ต้องจด ตอนแยกคู่ขั้นตอนยิ่งมากกว่า จดทะเบียนแค่จดป้าย
ปากกาเซ็นชื่อลงไปแล้วได้แผ่นกระดาษที่เขียนว่า “ทะเบียนสมรส” ก็เป็นอันหมดพีธีทางกฎหมาย แต่มันไม่ใช่ในกรณีหย่า เพรา
การหย่ามีมากกว่าการแยกทางกันอยู่ ยังต้องแยกทรัพย์สินที่ทำมาหาได้ในระหว่างร่วมชีวิตกัน ไหนจะเรื่องลูกๆ ใครจะจ่ายใครจะเลี้ยง
จะมีการเกี่ยงหรือแบ่งกันลงตัวหรือไม่ คือ สิ่งที่ต้องระบุไว้ใน “บันทีก” แนบท้ายทะเบียนหย่าด้วย

ไม่งามแน่ หากจะพากันไปถกวิจารณ์การแบ่งต่อหน้านายทะเบียน และถ้าตกลงกันไม่ได้ก็อาจไม่ต้องหย่า หรือต้องพากันไปเถียงต่อ
ที่ศาลให้เบิกบานทั้งเวลาและหน้าตาของสองฝ่าย กว่าจะได้คำตัดสินของศาลมาจัดการเรื่องหย่าๆ เพราะฉะนั้น ควรรู้ไว้ใน
สามเรื่องหลัก คือ

  1. สินสมรส
  2. อำนาจปกครอง
  3. ค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตร
และอาจมีอีกเรื่อง เช่น ค่าเลี้ยงชีพ ซึ่งหมายถึง เงินทองที่ฝ่ายหนึ่ง อาจตกลงให้อีกฝ่าย ไว้ใช้จ่ายหลังหย่า เป็นเงินก้อนหรือใช้
ระบบผ่อน ก็สุดแท้แต่

สินสมรส ถ้าไม่ตกลงกันเป็นอย่างอื่น กฎหมายให้แบ่งกันคนละครี่ง สินสมรส หมายถึง ทั้งที่ดินและเงินสด รถยนต์และหุ้นต่างๆ
ไม่ว่าจะเลขตัวแดงตัวดำในธนาคาร บรรดามีที่เป็นทั้งหนึ้สินและทรัพย์สินผ่านมาได้หนึ่งด่าน ก็มาเรื่องของลูก อำนาจปกครอง
และค่าอุปการะเลี้ยงดู ไม่จำเป็นต้องอยู่กับคนๆเดียวกันแล้วแต่จะตกลงกันอย่างไร แม่อาจอยากได้ลูกไว้แล้วให้พ่อจ่ายทุกอย่าง
ให้ลูก หรือ ให้พ่อจ่ายค่าเล่าเรียนลูก แล้วแม่จ่ายค่ารักษาพยาบาลและเครื่องใช้สอยอื่นๆ

การมีอำนาจปกครองหมายถึง สิทธิในการจัดการดูแลทรัพย์สินของลูก การให้ลูกอยู่ที่ไหน เรียนที่ใด อำนาจทำโทษลูกได้ เพื่อ
ว่ากล่าวสั่งสอนตามสมควร และอื่นๆอีกไม่น้อย ไมว่าอำนาจปกครองจะอยู่กับใครฝ่ายเดียว อีกฝ่ายหนึ่งก็มีสิทธิตามกฎหมาย
ที่จะได้พบหน้าลูกตามสมควร

นอกจากนี้ ยังอาจตกลงให้มีอำนาจปกครองลูกร่วมกัน แล้วว่ากันในรายละเอียดว่าจะให้ลูกไปอยู่บ้านใครในช่วงไหน หรืออยู่กับใคร
ฝ่ายเดียวแต่ปกครองร่วมก็ได้ ไม่เป็นการผิดกฎหมาย เวลาจดทะเบียนหย่าอย่าคิดว่าตกลงแบบนี้ไม่ได้ เพราะคนที่จะตัดสินใจ
ไม่ใช่นายทะเบียนแต่คือสองคนที่จะหย่าต่างหาก

หลายคนที่หย่ากันโดยไม่คำนึงว่าจะตกลงกันอย่างไร ขอให้ได้หย่าเป็นอันตกลง ปรากฏว่ามาได้สติเอาทีหลัง แล้วเสียดายว่ารู้อย่างนี้
ทำอย่างนั้นดีกว่า เป็นต้นว่า เรื่องให้แม่มีอำนาจปกครองเพียงเพราะแม่รู้สึกเสียหน้าที่สามีขอหย่า เลยอยากมีอำนาจไว้หน่อย
ได้ลูกไว้สักคนเหมือนได้กำไร มาภายหลังไม่อยากได้แล้ว หากว่าอีกฝ่ายก็เห็นดีเห็นงามตามด้วย ต่อให้พร้อมใจกันไปบอก
นายทะเบียน ให้แก้ไขในเรื่องนี้ก็ทำไม่ได้ จะต้องไปทำเรื่องร้องขอต่อศาลให้สั่งอนุญาต แล้วนำคำสั่งศาลไปทำการแก้ไขในบันทึก
การหย่าที่นายทะเบียนจึงจะเรียบร้อย

ตอนสมรสอาจจดทะเบียนที่บางรัก แต่พอตอนจะลาอาจอยากไปบางผลัด บางจาก จะจดหย่าที่ไหนก็ได้ตามอำเภอใจ ไม่ต้องไปที่
จดทะเบียนสมรส และจะมีผลผูกพันบุคคลภายนอกต่อเมื่อได้มีการจดแจ้งการหย่าในทะเบียนแล้ว ถ้าหย่ากันตามคำพิพากษา
ของศาล ก็ต้องรีบจัดการจดทะเบียนเสียให้เสร็จด้วย

การหย่าอาจถือเป็นเรื่องอัปมงคลของคนถูกหย่า และถือเป็นมงคลแก่คนที่อยากหย่า เมื่อเข้าใจกฎหมายในเรื่องนี้ ก็คิดให้ดี
สำหรับแต่ละคู่ว่าจะ “หย่าดีกว่า” หรือว่า “อย่าดีกว่า” เองก็แล้วกัน



________________________________________

แม่เลี้ยง
________________________________________

แม่เลี้ยงมักจะคู่กับลูกเลี้ยง และมักจะไม่ใช่ภรรยาของพ่อเลี้ยง บ้านหนึ่งๆจึงไม่ค่อยมีทั้งพ่อเลี้ยงและแม่เลี้ยงอยู่คู่ครัวเรือนเดียวกัน
แม่เลี้ยงเป็นแม่ชนิดหนึ่งที่อุปโลกน์เรียกกันตามฐานะที่เกิดขึ้น เนื่องจากไปแต่งงานกับพ่อม่ายลูกติด ทำให้ลูกที่ติดสามีมากลาย
เป็นลูกเลี้ยงของแม่เลี้ยง ทั้งๆที่แม่เลี้ยงอาจไม่ได้เลี้ยงหรือไม่เคยเลี้ยงดูลูกเลี้ยงก็ได้

เมื่อต้องร่วมเรือนเดียวกันก็อาจมีการกระทบกระทั่งกันบ้าง แม้จะรักลูกห่วงลูกปานใด แต่รักเมียใหม่ก็ย่อมต้องมีไม่มากก็น้อย
คนเป็นลูกก็รักพ่อ แต่จะให้รักคนที่พ่อรักมากกว่าแม่ตัวก็ทำใจลำบาก และแม้จะคาดได้ว่ากฎหมายไม่ได้รองรับฐานะของ
แม่เลี้ยงให้มีสิทธิมีอำนาจบาตรใหญ่ในลูกเลี้ยงได้ แต่ก็ไม่ใช่เสียทั้งหมด เพราะแล้วแต่บทบาทของแม่เลี้ยงคนนั้นด้วยเหมือนกัน
หลักมีอยู่ว่าลูกของใครก็ของคนนั้น จะมาจัดสรรให้เป็นกันตามอำเภอใจไม่ได้

ดังนั้น แม้จะมีแม่ใหม่ให้ลูกคนเดิม ก็ไม่ทำให้แม่คนใหม่ได้สิทธิอย่างแม่แท้ๆ เป็นต้นว่าสิทธิในการได้รับมรดก หากลูกเลี้ยงตาย
สิทธิที่จะเรียกค่าเสียหายเพราะขาดไร้อุปการะ หากว่าลูกเลี้ยงถูกคนขับรถมาชนตาย เบาๆ หน่อยก็เรื่องของอำนาจปกครองลูกเลี้ยง
อันได้แก่ อำนาจในการจัดการทัพย์สินของลูก อำนาจในการกำหนดที่อยู่ของลูก หรือการว่ากล่าวสั่งสอนลูก

แปลอีกที ก็คือ แม้จะศักดิ์หรือฐานะเป็นแม่เลี้ยง แต่ก็เป็นเพราะสถานะทางครอบครัวที่เกิดขึ้น ไม่ใช่สถานะทางกฎหมายใดๆ
ทั้งสิ้น ไม่ว่าแม่เลี้ยงคนนี้จะจดทะเบียนสมรสเป็นสามีภรรยากันตามกฎหมายกับพ่อของลูกเลี้ยงหรือไม่ก็ตาม อำนาจปกครอง
ลูกก็ยังอยู่กับพ่อหรือแม่(จริง) ตามแต่จะได้ตกลงกันไว้ในตอนหย่า หรือหากว่าแม่ตายไปแล้ว อำนาจปกครองก็ต้องอยู่ที่พ่อของลูก
ไม่เผื่อแผ่มาที่แม่เลี้ยงแม้แต่น้อย

อำนาจก็ไม่มี หน้าที่ก็ไม่ต้อง ปกติแล้วหากลูกยังเด็กยังเล็ก พ่อแม่มีหน้าที่อุปการะเลี้ยงดูลูก และเมื่อลูกเติบใหญ่มีปัญญาหาเลี้ยง
ครอบครัวได้ ลูกก็มีหน้าที่ต้องอุปการะเลี้ยงดูพ่อแม่ด้วย แม้จะดองเป็นแม่เลี้ยงลูกเลี้ยงก็ไม่มีหน้าที่ตามกฎหมายต้องเลี้ยงดูกัน
แต่ประการใด

แต่ในโลกแห่งความจริง ผู้หญิงมักเลี้ยงลูกได้ดีกว่าผู้ขาย จึงเป็นไปได้มากที่สามีมักจะหวังให้ภรรยาคนใหม่ทำหน้าที่แทนแม่แท้ๆ
ของลูก การเลี้ยงดูขับกล่อมลูกนอกไส้จึงเกิดขึ้นจนได้ แบบนี้แม้กฎหมายจะไม่ได้ให้อำนาจไว้ แต่เมื่อพ่อเลี้ยงมอบหมายถือว่า
ให้ดูแลแทน แม่เลี้ยงย่อมอบรมเลี้ยงดู ทำโทษว่ากล่าวสั่งสอน หรือจัดการออกคำสั่งให้ต้องปฎิบัติตามประสาแม่ที่ต้องเลี้ยงดูลูก

แม่เลี้ยงทั้งหลายก็อย่าได้ฉวยโอกาสทองที่สามีมอบความไว้วางใจการดูแลก็ต้องอยู่ในขอบเขต จะมาล่วงเกินสิทธิในตัวลูกไม่ได้
เช่น เมื่อแม่ของลูกมาเยี่ยมพบ แม่เลี้ยงจะหวงก้างวางอำนาจที่สามีให้มาห้ามเขาพบกันไม่ได้ ทั้งการทำหน้าที่ดูแลก็ต้องใช้
ความระมัดระวังอย่าให้เกิดความเสียหาย หากพาไปเดินเล่นตามห้างแล้ว มือเด็กระรานไปปัดถ้วยโถโอชามเขาระเนระนาด ความ
เสียหายตรงนี้เห็นทีแม่เลี้ยงต้องรับไว้ จะมาหยิบหลักฐานแสดงว่าไม่ใช่แม่ที่แท้จริงไม่ได้ เพราะกฎหมายท่านว่าไว้ว่า ถ้าเด็กอยู่
ในความดูแลของเราแล้วเด็กไปละเมิดเกิดความเสียหายขึ้นมา ทั้งเด็กและตัวเราก็ต้องร่วมกันรับผิด เว้นแต่จะพิสูจน์ว่า ได้ใช้
ความระมัดระวังตามสมควร วันไหนแม่เลี้ยงอยากจะโฮมอโลน ลูกเลี้ยงที่อายุยังไม่เกิน 9 ปี โดยไม่มีใครดูแลก็มีความผิดทางอาญา
ฐานทอดทิ้งเด็กได้

เป็นแม่คนนั้นแสนลำบาก เป็นแม่เลี้ยงก็ยุ่งยากหลายเท่า เมื่อรักพ่อของเด็กก็ต้องรู้ไว้ว่า กฎหมายให้แม่เลี้ยงมีฤทธิ์เดชแค่ไหน
อย่าได้ล้ำเส้นออฟไซด์ถูกใบเหลืองใบแดงจนสามีปลดกลางอากาศจากตำแหน่งภรรยา เพราะไปทำหน้าที่แม่เลี้ยงใจยักษ์
________________________________________

พรากผู้เยาว์

________________________________________
ที่เขาว่าคบเด็กสร้างบ้านนั้น การคบเด็กก็ต้องระวังอย่าให้กลายเป็นสร้างความ สร้างคดี เพราะเรื่องของเด็กทำให้ผู้ใหญ่เดือดร้อนมา
หลายรายแล้ว เรื่องการพรากผู้เยาว์ก็เป็นข้อหาหนึ่งที่พึงรู้จัก แต่อย่าไปเกี่ยวข้อง จะตกเป็นผู้ต้องหาว่าพรากผู้เยาว์นั้น สำคัญว่าเรา
เข้าใจแค่ไหน เพราะบางทีเราพาเด็กไปดูแล แต่พ่อแม่กลับยัดเยียดข้อหาให้เป็นพรากผู้เยาว์

ใครว่าอายุเป็นเพียงตัวเลข มันยังผันโทษทางอาญาให้แก่เราได้หากไม่ระวัง การพรากผู้เยาว์มีเกณฑ์อายุกำกับไว้ว่า อายุเท่าไร
แล้วทำอย่างไรก็ผิด

หลักมีอยู่ว่า ถ้าพาเด็กอายุไม่เกิน 15 ไปเสียจากพ่อแม่ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแลโดยไม่มีเหตุอันสมคร จะต้องได้รับโทษจำคุกตั้งแต่
3 ปี ถึง 15 ปี และปรับตั้งแต่ 6000 - 30000 บาท งานนี้ไม่สนใจว่าเด็กจะยินยอมหรือไม่ ไม่ว่าจะได้พาไปเพื่อการอนาจาร หรือ
ไปเที่ยวงานวัด หรือไปดูหนังฟังเพลง

ว่าด้วย "เหตุอันสมควร" ก็มีเถียงกันว่ามันสมควรหรือไม่ อย่างเช่น พาเด็กไปดูหนังแล้วไม่บอกพ่อแม่ หายไปหลายชั่วโมงจึงพา
มาส่งกลับก็รอรับข้อหาได้เลย อย่างนี้มีเดือดร้อน สำหรับเด็กที่หนีออกจากบ้านแล้วไปขอนอนบ้านเพื่อน บรรดาพ่อแม่ของเพื่อน
จะไล่ไปก็ใช่ที่ แต่พอจะรับไว้ก็กลัวจะกลายเป็นพรากผู้เยาว์ อย่างนี้ไม่เข้าข่าย เพราะการที่เด็มาที่บ้านแล้วไม่ยอมกลับเป็นเรื่อง
ที่เราไม่ได้พราก แต่เป็นเด็กหนีออกจากบ้านจากความปกครองดูแลมาเอง เคยมีเรื่องที่ฝ่ายหญิงได้เสียกับฝ่ายชายมาก่อน ก็
กลัวว่าจะไม่รับมาเป็นสะใภ้ที่บ้าน จึงแบกหน้ามาหาฝ่ายชายเสียเองเพื่อมาอยู่ด้วย คุณแม่ของลูกชายเห็นว่าเมื่อได้เสียกันอยู่แล้ว
จึงยอมรับไว้เป็นสะใภ้ แม้อายุยังไม่ถึง 15 แล้วเรื่องก็ไปถึงศาลซึ่งเห็นว่า เป็นเรื่องที่ผู้เยาว์ต้องการเป็นภรรยาโดยสมัครใจ ไม่ใช่
การพรากผู้เยาว์ ผู้ใหญ่จึงต้องกวดขันในความปกครองของตัวเอาไว้ อย่าขับไล่หรือปล่อยให้ออกไปอยู่กับใคร

มีอีกคดี ที่ลูกชายพาเด็กสาวอายุ 14ปี ไปเลี้ยงดูอยู่บ้านฉันสามีภรรยา แบบว่ารักกันก็พราหนี อย่างนี้ศาลถือว่าไม่เป็นการพรากไป
โดยปราศจากเหตุอันสมควร

นอกจากนี้ยังมีเรื่องของศึกชิงลุก เมื่อพ่อกันแม่ต้องแยกทางกัน แต่พ่อก็อยากได้ แม่ก็อยากเลี้ยงลูก วันดีคืนดีพ่อก็มาอุ้มลูกหนีไป
ที่บ้าน ถึงแม้พ่อกับแม่จะไม่ได้จดทะเบียนสมรสตามกฎหมาย ซึ่งทำให้พ่อกับลูกไม่ผูกผันตามกฎหมายไปด้วย แต่การพาลูกไป
ก็ไม่ใช่การพรากผู้เยาว์ เพราะเขาพาไปโดยมีเหตุอันสมควร

เกณฑ์อายุที่ต้องพิจารณาอีกช่วง ก็คือ เด็กที่อายุเกินกว่า 15 ปี แต่ไม่เกิน 18 ปี ผู้พรากเด็กไปจะได้ข้อหาก็ต่อเมื่อเด็กนั้นไม่ยินยอม
ด้วย สำหรับเด็กที่อายุเกิน 18 ไปแล้ว การพาเด็กเหล่านี้ไปแม้จะไม่มีเหตุอันสมควร ก็ไม่มีความผิดฐานพรากผู้เยาว์ แต่อาจมี
ความผิดอื่น เช่น การหน่วงเหนี่ยยวกักขังหรืออนาจาร แล้วแต่ว่าพาไปทำไม แล้วทำไมต้องพาไป

คำว่าเด็กอายุต่างๆ ไม่ได้จำกัดว่าจะเป็นเด็กหญิงหรือเด็กชาย ดังนั้น ทั้งเด็กสาวและเด็กหนุ่มทั้งหลายก็ได้รับความคุ้มครองทั้งสิ้น
และผู้ที่เสียหายก็ได้แก่ตัวเด็กนั้นเอง รวมทั้งตัวผู้เป็นพ่อแม่ผู้ปกครอง และถ้าพาไปเพื่อการอนาจาร หรือเพื่อการค้าหากำไร ก็ได้
โทษหนักโทษสูงขึ้นไปอีก การพรากไม่ต้องฉุดกระชากลากถู ต่อให้จูงมือกันไปหรือเต็มใจก็เป็นพรากได้ กฎหมายต้องการเพียงให้
ได้ความว่า มีการแยกเด็กออกจากการปกครองดูแล แม้จะไม่ได้หลอกลวงเด็กก็ตาม และคนที่กระทำก็ไม่จำเป็นต้องเป็นผู้ใหญ่
เด็กๆด้วยกัน กระทำไปก้ได้ข้อหาเหมือนกัน

________________________________________

ภาษีของสามี-ภรรยา
________________________________________
แต่งงานกันมันอยู่บนฐานแห่งความรักความเข้าใจก็ใช่อยู่ แต่เมื่อแต่งกันแล้วยังมีเรื่องเงินทองทรัพย์สินและภาระหน้าที่ติดตาม
มาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แม้ว่าจะไม่ได้เค็มใส่กันสักเท่าไร แต่การทำมาหาได้ในระหว่างแต่งงานยังมีเรื่องของภาษี ที่ทั้งสามี
ภรรยามีหน้าที่ต้องนำมาจ่ายให้แก่รัฐ

เดี๋ยวนี้สิทธิของบุรุษและสตรีกำลังจะมีความเท่าเทียมกัน ภรรยาหลายบ้านจึงมีงานมีการเป็นของตัวเอง ทำให้มีรายได้มาเสริม
ครอบครัว ไม่ว่าจะในลักษณะที่เป็นการทำงานกินเงินเดือน ทำธุรกิจเป็นเรื่องเป็นราว หรือทำการค้าเล็กน้อยพอมีรายได้มาจุนเจือ
ครอบครัว ไม่ว่าสามีจะพอใจในการทำมาหาได้ของภรรยาหรือไม่ กฎหมายในเรื่องภาษีก็จะต้องเข้ามามีบทบาท หากภรรยามี
รายได้เช่นนี้ เพียงแต่รู้แล้วอย่าตกใจ กฎหมายกำหนดให้เงินได้ของภรรยาถือเป็นเงินได้ของสามีอีกด้วย

คุณสามีก็อย่าได้ดีใจถือโอกาสทวงรายได้มาใส่กระเป๋าตัวเอง แม้ความเป็นจริงของภรรยาจะเป็นผู้เก็บเงินได้ทั้งของตัวเองและ
ของสามีเอาไว้ดูแลแต่เพียงฝ่ายเดียวก็ตาม ความสำคัญยังอยู่ที่ว่า กฎหมายถือว่า เงินได้ของภรรยาเป็นเงินได้ของสามี
ผลก็คือ หน้าที่และความรับผิดชอบของสามีที่จะต้องนำเงินได้ของภรรยานี้มารวมคำนวณเพื่อเสียภาษีตามกฎหมายนั่นเอง

และภรรยาก็อย่าเพิ่งดีใจว่าปลดปลอดจากหน้าที่เสียภาษีทั้งหลายที่ตัวหามาได้ เนื่องจากสามีจัดการาให้ตามที่กฎหมายบังคับ
เพราะหากมีภาษีค้างชำระเกิดขึ้นเมื่อใด รัฐก็อาจแจ้งให้ฝ่ายภรรยาจัดการเสียโดยแจ้งล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 7 วัน อย่างนี้
ภรรยาก็จะผูกพันที่จะต้องร่วมรับผิดกับสามีในการจ่ายภาษีที่ค้างชำระนั้น

ความจริงมันก็คนละกระเป๋าเดียวกัน แต่การนำมาคำนวณเงินได้เพื่อจ่ายภาษีในลักษณะนี้ ทำให้ฐานภาษีของสามีกว้างออกไป
และนั่นหมายถึง อัตราภาษีที่ต้องจ่ายก็จะขยายสูงขึ้นไปด้วย เนื่องจากยิ่งมีเงินได้สุทธิมากเท่าไร ก็ยิ่งต้องเสียภาษีในอัตราสูงขึ้น
เป็นการเสียหายทางการเงินแก่ครอบครัว ยังมีทางออกในทางกฎหมาย หากปรากฎว่าเงินได้ของภรรยาตกอยู่ในส่วนที่เป็นเงินได้
เนื่องจากการจ้างแรงงาน กฎหมายให้สิทธิภรรยาที่จะแยกวงมายื่นต่างหากจากสามีได้ โดยไม่ต้องถือเป็นเงินได้ของสามี ซึ่งเรา
คงเคยสังเกตเห็นได้จากแบบยื่นรายการเพื่อเสียภาษีว่า มีช่องของคู่สมรสเอาไว้ให้ใส่เป็นรายการต่างหาก ดังนั้น หากต้องการ
แยกจ่ายก็ยื่นไว้ในรายการฉบับเดียวกับสามี แต่แยกคำนวณภาษีต่างหากเท่านั้น อย่างนี้ก็ทำให้สามีภรรยาเสียภาษีน้อยลงไปด้วย
เพราะเมื่อไม่นำไปรวมเงินได้ของสามี ฐานภาษีก็จะต่ำ อัตราภาษีก็จะพลอยต่ำไปด้วย

ในการยื่นรายการจะมีเรื่องการหักค่าลดหย่อนบุตรและค่าลดหย่อนเพื่อการศึกษาของบุตร ถ้าแยกกันยื่นจะถือโอกาสต่างคนต่างหัก
ลดหย่อนไม่ได้ มีลูกอยู่คนเดียวก็ต้องแบ่งกันหัก จะมาตีขลุมหักทั้งสองคนไม่ได้ ต้องแบ่งกันคนละครึ่งกับสามี แบบนี้มีทีเด็ด
อยู่ตรงที่สมีบางคนเอาลูกที่ติดกับภรรยาเก่ามาหักลดหย่อนเต็มอัตรา เพราะภรรยาคนปัจจุบันไม่มีบุตร อย่างนี้ก็ทำไม่ได้ เพราะ
ถ้าจะแยกรายการกันออกไป แม้ลูกคนละท้องแม่ก็ต้องหักลดหย่อนคนละครึ่งอยู่นั่นเอง


________________________________________

เมื่อต้องขอความยินยอม________________________________________

อยู่ด้วยกันฉันสามีภรรยา มีอะไรก็ค่อยพูดค่อยจากัน ส่วนใหญ่ภรรยาจะพูดมากกว่าสามี เราจึงมักเห็นชายไทยมีอาการสุขุมนุ่มลึก
ไม่ค่อยเจรจาหลังแต่งงาน อาการนี้ได้กลายเป็นเหตุผลหนึ่งที่สามีใช้อ้างเมื่อภรรยากล่าวหาว่า ทำไมไม่บอก

การจัดการสินสมรสบางอย่าง กฎหมายกำหนดว่าต้องได้รับความยินยอมจากอีกฝ่ายหนึ่ง เป็ฯต้นว่าการขาย จำนอง หรือทำประการใดๆ
เกี่ยวกับที่ดินที่ถือว่าเป็นอสังหาริมทรัพย์ รวมทั้งการให้เช่าเกินกว่า 3 ปี การให้เขาอาศัยในบ้าน หรือไปมีเรื่องมีราวแล้วทำสัญญา
ประนึประนอม หรือนำหลักทรัพย์ไปเป็นประกัน หรือกลักประกันกับตำรวจหรือศาล รวมทั้งการให้คนกู้ยืมเงิน จะต้องขอความยินยอม
จากคู่สมรสเสียก่อน ที่สำคัญ การจะยกข้าวของเงินทองให้ใครก็ต้องยินยอมเช่นกัน เว้นเสียแต่เป็นการให้ตามฐานะนุรูปเพื่อการ
กุศลหรือการสังคม หรือตามหน้าที่ธรรมจรรยา เช่น บริจาคช่วยน้ำท่วม ซื้อบัตร ฟังปาฐกาถาในงานดินเนอร์ ให้ของขวัญงานแต่ง

ยกตัวอย่างเช่น ประวิทย์ไปซื้อคอนโดให้สาวอื่นอยู่ ความมาแตกเมื่อ "ดาว" ภรรยาของเขาจับได้ แต่สามีก็หัวไวไหวตัว โดยบอกว่า
ไม่ได้มีอะไรกับหญิงคนนั้น คอนโดหลังนี้ "สิริมา" ต้องการซื้อแต่ไม่มีเงินจึงขอยืมเขา เห็นเป็นเพื่อนเก่าของภรรยาก็เลยใจอ่อน
ยอมให้ยืมเงิน แล้วช่วยติดต่อดูแลการเซ็นสัญญาเท่านั้น ผู้รู้กฎหมายอย่างดาว ขอเพิกถอนนิติกรรมการซื้อขายคอนโดทันที
แม้การซื้อคอนโดนั้นกฎหมายไม่ได้กำหนดเรื่องความยินยอม เพราะไม่ใช่การขาย แต่ซื้อแล้วเอาไปให้สิริมานี่ต่างหากที่ไม่ถูกต้อง
จะอ้างว่าให้ยืมเงินก็ยิ่งเข้าล็อกของกฎหมายไปอีก เพราะการให้ใครกู้ยืมเงินต้องขอความยินยอมอยู่ดี งานนี้ ประวิทิย์เองยัง
ปากแข็งว่าไม่ได้ปดภรรยา ถ้าจะพลาดก็เพราะพลั้งเผลอโดยสุจริตเท่านั้น

การขอความยินยอมนั้น ไม่ต้องถึงกับขออนุมัติเป็นทางการ เพียงบอกแล้วเขาไม่โต้แย้งคัดค้านก็ใช้ได้ เว้นแต่เป็นเรื่องที่ต้องมี
ขั้นตอนตามกฎหมาย เช่น จะจำนองที่ดินต้องจดทะเบียนจำนองที่สำนักงานที่ดิน เจ้าหน้าที่ก็ต้องให้คู่สมรสจัดการยินยอมเป็น
ลายลักษณ์อักษร และจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่

บางรายไม่ได้ยินได้ยอม แต่มารู้ทีหลังก็ไม่ว่ากระไร กฎหมายถือเป็นการให้สัตยาบัน คือรับรอง การที่ได้ทำไปโดยปราศจากความ
ยินยอมในตอนต้น อย่างนี้จะมาโวยทีหลังแล้วขอเพิกถอนไม่ได้ เช่น สามีให้เพื่อนยืมเงินไปสองแสน มีกำหนดหนึ่งปี ทำสัญญา
กันไว้ดิบดี ตกลงให้เพื่อนชำระดอกเบี้ยเป็นรายเดือน วันหนึ่งเพื่อนก็เอาเช็คค่าดอกเบี้ยมาให้ที่บ้าน พบภรรยาเลยให้เซ็นรับไว้
ภรรยาก็ไม่ว่าอย่างไร เพราะถือว่าภรรยาได้ให้สัตยาบันการกู้ยืมนี้แล้ว จะมาอ้างเพิกถอนทีหลังไม่ได้

ตามปกติ เราไม่มีวันรู้ว่าสามีภรรยาเขาเออออห่อหมกยินยอมกันจริงไหม วันดีคืนดี สามีเอาภรรยามาร้องเพิกถอน คนนอก็เสียหาย
ได้ กฎหมายจึงป้องการการฮัวไว้ว่า ถ้าคนที่ได้รับผลจากการทำนิติกรรมนั้นๆ ได้ทำโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทนแล้ว ก็เพิกถอน
ไม่ได้เช่นกัน สามีภรรยาได้แต่ไปจัดการเอาเรื่องกันเอง

กรณีแบบนี้มักเกิดกับการซื้อขายที่ดินที่ไปใส่ชื่อสามีเพียงคนเดียวไว้ เพื่อให้จัดการได้คล่องแคล่ว ต่อมาสามีไปแอบบขายที่ดินโดย
ไม่บอกภรรยามารู้ทีหลังจะจัดการเพิกถอนเอาที่ดินคืนไม่ได้ เพราะผู้ซื้อได้ซื้อไปโดยสุจริต และได้จ่ายค่าที่ดินแล้ว การเพิกถอน
นิติกรรมนี้ไม่ใช่เดินไปบอกให้เขาถอน โดยเฉพาะเรื่องเกี่ยวกับที่ดิน จะไปบอกเจ้าพนักงานที่ดินไม่ได้ ต้องนำความไปห้องต่อศาล
เพื่อขอให้ศาลเพิกถอน แล้วนำคำสั่งหรือคำพิพากษานั้นไปให้เจ้าพนักงานจดแจ้ง และกำหนดเวลาในการฟ้องร้อง ก็จำกัดไว้ว่า
ต้องทำภายใน 1 ปี นับแต่วันที่รู้เหตุเพิกถอน หรือไม่เกิน 10 ปีนับแต่วันที่ได้ทำนิติกรรม หมายความว่า ถ้าสามีนำสินสมรสไปให้
ภรรยาน้อยเมื่อ 8 ปีที่แล้ว เราต้องฟ้องภายใน 1 ปีนับแต่วันที่รู้ แต่ถ้าสามีให้ไปเมื่อ 10 ปีที่แล้ว แม้จะเพิ่งรู้ก็สายเกินไป ไม่ต้อง
กลัวว่าขอแล้วเขาหรือเธอไม่ยินยอม การดื้อแพ่งกแล้งไม่ยอมโดยไม่มีเหตุผล อีกฝ่ายหนึ่งก็อาศัยกฎหมายบังคับโดยการร้องขอ
ต่อศาลให้สั่งอนุญาตแทนได้ หรือบางทีสามี หรือภรรยาอยู่ในสภาพที่ไม่อาจให้ความยินยอม เช่น อาการโคม่า หรือทิ้งร้างหายไป
อีกฝ่ายก็อาศัยการร้องขอต่อศาลเป็นช่องทางในการทำนิติกรรมได้เช่นกัน






ที่มา : นสพ คมชัดลึก คอลัมน์ “รู้ทันกฎหมาย” โดยคุณ ศรัณยา ไชยสุต